วันนี้ (5 พ.ย.2568) นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานสภาหอการค้าไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เพื่อสรุปภาพเศรษฐกิจและข้อเสนอเชิงนโยบายต่อรัฐบาล โดยที่ประชุม กกร. ประเมินว่าแม้เศรษฐกิจโลกจะมีแนวโน้มขยายตัวดีกว่าคาด แต่ล่าสุด IMF คาดเศรษฐกิจโลกปี 2568 โต 3.2% หนุนจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังเติบโตดี แต่ไทยกลับได้รับประโยชน์จำกัด เนื่องจากโครงสร้างการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวมีสัดส่วน Local Content ต่ำ จึงไม่ส่งต่อเป็นมูลค่าเพิ่มในระบบเศรษฐกิจเท่าที่ควร
ดังนั้น กกร.ยังคงกรอบประมาณการเดิม GDP โตเพียง 1.8–2.2% แม้การส่งออกคาดโตสูงถึง 9.5–10.5% แต่ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ รวมถึงทองคำ ขณะที่การนำเข้าขยายตัวสูงถึง 10.2% กระทบต่อดุลการผลิตในประเทศ ขณะเดียวกันเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำเพียง -0.1% ถึง 0.1%
ตลาดแรงงานยังเปราะบางอัตราว่างงานในกองทุนประกันสังคมไตรมาส 2/68 แตะ 2.1% สูงสุดรอบ 2 ปี กลุ่มแรงงานอุตสาหกรรมและเด็กจบใหม่ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันระหว่างประเทศและสงครามการค้า ขณะที่แรงงานนอกระบบสูงขึ้นจากช่วงโควิด กดทับผลิตภาพแรงงานและกำลังซื้อ
ขณะที่ภาคการเงิน ความคืบหน้าแนวทางแก้หนี้ครัวเรือนผ่านกลไก Debtor Centric โดยรวมศูนย์บริหารหนี้รายย่อยผ่าน SAM และ JV AMC รองรับลูกหนี้ 3.4 ล้านราย และยอดหนี้รวม 122,000 ล้านบาท พร้อมวางระบบข้อมูลศักยภาพลูกหนี้เพื่อช่วยกลับคืนสู่กลไกตลาด
นอกจากนี้ กกร.แสดงความกังวลต่อร่างกฎหมายใหม่ ที่ยังไม่มีการประเมินผลกระทบ (RIA) อย่างรอบด้าน ได้แก่ ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน, ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด และร่าง พ.ร.บ.โรงงาน ซึ่งอาจสร้างภาระต้นทุนสูงให้ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs และบั่นทอนความเชื่อมั่นนักลงทุน กกร. จึงเรียกร้องให้ปรับปรุงกฎหมายด้วยกระบวนการ RIA มาตรฐานสากล เปิดรับฟังทุกฝ่ายอย่างรอบคอบ
ในเวลาเดียวกัน กกร. สนับสนุนความพยายามของรัฐบาลในการยกระดับระบบราชการ ผ่านร่าง พ.ร.บ.ยกระดับการบริหารงานภาครัฐให้มีความทันสมัย และร่าง พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกฯ ฉบับใหม่ รวมถึงการเดินหน้า Regulatory Guillotine เพื่อลดกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจ โดย กกร. จะทำงานร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี ศาสตราจารย์กิตติคุณ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เพื่อผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
สำหรับปัจจัยภายนอกที่ต้องติดตาม ได้แก่ การเจรการค้าระหว่างไทย–สหรัฐฯ รวมถึง คำพิพากษาศาลฎีกาสหรัฐฯ ว่าด้วยอำนาจประธานาธิบดีในการจัดเก็บภาษี ซึ่งอาจส่งผลต่อภูมิทัศน์การค้าและเศรษฐกิจโลกในวงกว้าง
กกร. หวังว่ารัฐบาลเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 เร่งมาตรการ คนละครึ่งพลัส ส่งเสริม SMEs และนโยบาย Made in Thailand ตาม Quick Big Win จะช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยปี 2568 ให้ใกล้เคียงระดับ 2.5% เหมือนปีก่อนหน้า
อ่านข่าว:
อังกฤษขึ้นบัญชีดำ 39 ราย ไทยโดนด้วยฐานละเมิดกม.คว่ำบาตรรัสเซีย
ค่าไฟ น้ำมัน อาหารสด ลด กดเงินเฟ้อ ต.ค.ลบ 7 เดือน คาดทั้งปีติดลบ
เด็กไทยเกิดน้อย-สูงวัย “ล้นเมือง” ต่ออายุเกษียณ ทางออกหรือวิกฤต











