“บิ๊กโจ๊ก-บิ๊กต่าย” ชี้แจง ก.พ.ค.ตร.ครั้งสุดท้าย 30 ก.ค.ปมอุทธรณ์คำสั่งให้ออก

การเมือง
29 ก.ค. 67
18:53
1,326
Logo Thai PBS
“บิ๊กโจ๊ก-บิ๊กต่าย” ชี้แจง ก.พ.ค.ตร.ครั้งสุดท้าย 30 ก.ค.ปมอุทธรณ์คำสั่งให้ออก
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
การเข้าชี้แจงด้วยวาจาต่อ ก.พ.ค.ตร.ในวันพรุ่งนี้ (30 ก.ค.) เป็นการชี้แจงครั้งสุดท้ายของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ - พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ คู่กรณีอุทธรณ์คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ก่อนที่ ก.พ.ค.ตร.จะพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ คาดจบกรอบเวลา ลุ้นผลมติ ก.พ.ค.ตร.ชี้ชะตา 2 บิ๊ก

ย้อนกลับไปวันที่ 25 เม.ย.2567 พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล เข้ายื่นอุทธรณ์คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.)

เนื่องจากเห็นว่า เป็นการออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งผู้ที่ลงนามในคำสั่ง คือ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในขณะนั้น

ในช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้ผ่านขั้นตอนการแก้อุทธรณ์ของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ และ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ก็ได้ตรวจสอบคำแก้อุทธรณ์ของคู่กรณี และส่งคืนกรรมการเจ้าของสำนวนไปแล้ว

นัดเข้าชี้แจงครั้งสุดท้าย ก่อน ก.พ.ค.ตร.พิจารณาวินิจฉัย

ในวันพรุ่งนี้ (30 ก.ค.2567) กรรมการเจ้าของสำนวนได้นัด พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ผู้อุทธรณ์ และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ คู่กรณีในอุทธรณ์ เข้าชี้แจงข้อเท็จจริงด้วยวาจาเพิ่มเติม ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการแสวงหาข้อเท็จจริง

จากนั้นกรรมการเจ้าของสำนวน จะพิจารณาข้อเท็จจริงจากคำอุทธรณ์, คำแก้อุทธรณ์ของคู่กรณี รวมทั้งข้อเท็จจริงอื่น หากเห็นว่า ไม่มีกรณีที่จะแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมก็จะมีคำสั่งกำหนดวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริง

ซึ่งจะมีการแจ้งให้คู่กรณีได้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 10 วัน จากนั้นกรรมการเจ้าของสำนวนจะสรุปสำนวนเสนอต่อ ก.พ.ค.ตร. เพื่อพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์

กฎ ก.พ.ค.ตร. กำหนดการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ ว่า ก่อนที่ ก.พ.ค.ตร.จะพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์เรื่องใด ให้กรรมการเจ้าของสำนวนแจ้งวันประชุมพิจารณาวินิจฉัยให้คู่กรณีทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน และคู่กรณีมีสิทธิยื่นคำแถลงเป็นหนังสือ ต่อ ก.พ.ค.ตร.

ก่อนที่จะพิจารณาวินิจฉัยและมีมติในเรื่องนั้น ๆ หรือมาแถลงด้วยวาจาต่อ ก.พ.ค.ตร. ในการประชุมพิจารณาก็ได้ โดยมีข้อกำหนดกรอบเวลาการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ไว้ที่ 120 วัน นับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์

เว้นแต่มีเหตุขัดข้องที่ทำให้ดำเนินการพิจารณาไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด ก็ให้ขยายเวลาได้อีกไม่เกิน 2 ครั้ง โดยแต่ละครั้งต้องไม่เกิน 60 วัน และให้บันทึกเหตุขัดข้องและแนวทางการดำเนินงานให้ปรากฏไว้ด้วย

แต่ในการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ คาดว่า จะเสร็จสิ้นภายในกรอบเวลา 120 วัน ขณะนี้เหลือเวลาอีก 25 วัน

มติ ก.พ.ค.ตร. มีผลต่ออนาคตทางราชการ 2 บิ๊ก ตร.

หากผลการวินิจฉัยอุทธรณ์ของ ก.พ.ค.ตร. มีมติชี้ว่า คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ที่ลงนามคำสั่งโดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เข้าข่ายมีความผิดการใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ชอบ ซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ย่อมดำเนินการฟ้องร้อง โดยใช้ผลการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ เป็นหลักฐานสำคัญในการสู้คดี

หากถูกฟ้องร้องดำเนินคดีก็ย่อมส่งผลต่ออนาคตทางราชการ แม้ว่าจะเหลืออีก 1 ปีก็ตาม เพราะเป็น 1 ปี ที่อยู่ในฐานะแคนดิเดตชิงตำแหน่ง ผบ.ตร.คนต่อไป

ในทางตรงกันข้ามก็จะเป็นประโยชน์ต่อ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ เพราะจะได้กลับสู่ตำแหน่งรอง ผบ.ตร. โดยที่กฎ ก.พ.ค.ตร. กำหนดให้ผู้บังคับบัญชาจะต้องดำเนินการเยียวยาความเสียหายให้ผู้อุทธรณ์ตามคำวินิจฉัยภายใน 30 วัน

นายธวัชชัย ไทยเขียว หนึ่งใน ก.พ.ค.ตร. และรองโฆษก ก.พ.ค.ตร. เคยให้ข้อมูลกับทีมข่าวไทยพีบีเอส ว่า “คำวินิจฉัยออกมาประการใด ผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งลงโทษ ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยนั้นภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ ก.พ.ค.ตร. มีคำวินิจฉัย

และถ้าไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร. ให้ถือว่าเป็นการจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น”

เมื่อกลับเข้าสู่ตำแหน่งเดิม พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ จะเป็นแคนดิเดตชิงเก้าอี้ ผบ.ตร. คนที่ 15 โดยครองอาวุโสลำดับที่ 1 ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะมีการพิจารณาแต่งตั้ง ผบ.ตร. ในช่วงเดือน ต.ค.

เนื่องจากกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ปี 2567 ประกาศในเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ 180 วัน หลังประกาศฯ

แต่หากผลออกมาว่า คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ที่ลงนามโดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ย่อมส่งผลดีต่อ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ มากกว่า ส่วน พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ก็จะพลาดสิทธิเข้าชิงเก้าอี้ ผบ.ตร. คนที่ 15 ไปโดยปริยาย

ส่วนเรื่องคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ก็ต้องไปต่อสู้อีกครั้ง โดยการยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองสูงสุดภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ทราบ หรือถือว่าทราบคำวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร.

สำหรับคณะกรรมการ 6 คน ประกอบด้วย นายสมรรถชัย วิศาลาภรณ์ ประธานกรรมการ, นายธวัชชัย ไทยเขียว กรรมการ, นายวันชาติ สันติกุญชร กรรมการ, พล.ต.ท.อาจิณ โชติวงศ์ กรรมการ, พล.ต.อ.อำนาจ อันอาตม์งาม กรรมการ, พล.ต.ท.ปัญญา เอ่งฉ้วน กรรมการและเลขานุการ โดยไม่มี พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ร่วมกาพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ เนื่องจากได้ยื่นถอนตัวไปตั้งแต่วันที่ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ยื่นอุทธรณ์ ด้วยเหตุผลเคยมีข้อพิพาทระหว่างกันในอดีต

รายงาน : กิตติพร บุญอุ้ม ผู้สื่อข่าวอาชญากรรม ไทยพีบีเอส

อ่านข่าว : "บิ๊กโจ๊ก" ยันไม่มีดีลกลับ ตร. บอก "ใครไม่เป็นผมไม่เข้าใจ" 

เปิด 2 ดีลลับ สกัด "บิ๊กโจ๊ก" เดินสายฟ้องเอาคืนคน (ใน) ทุ่งปทุมวัน 

"บิ๊กต่าย" ยืนยันคำสั่ง "บิ๊กโจ๊ก" ออกราชการทำตามกฎหมาย 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง