วันนี้ (11 มิ.ย.2568) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีกัมพูชาตั้งคณะกรรมการจัดทำเอกสารเพื่อยื่นฟ้องต่อศาลโลก เกี่ยวกับข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา 4 พื้นที่คือ ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาเมือนโต๊ด, ปราสาทตาควาย และศาลาตรีมุข-สามเหลี่ยมมรกต นั้น
นายภูมิธรรม ระบุว่า ต่างคนต่างทำหน้าที่ การจะฟ้องศาลโลกเป็นเรื่องของกัมพูชา ส่วนไทยก็มีมติไม่รับอำนาจขอบเขตศาลโลก ตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งทุกอย่างให้ว่ากันไปตามกระบวนการ พร้อมยอมรับว่าปัญหายังไม่จบและต้องใช้เวลาพูดคุยกันในส่วนที่เห็นไม่ตรงกัน
ขณะเดียวกันไทยยังคงดำเนินมาตรการปรับเวลาเปิด-ปิดด่านในแต่ละพื้นที่ ยังไม่ได้ยกระดับมาตรการ พร้อมปรับกำลังในจุดที่มีการเผชิญหน้า ขณะที่พื้นที่อื่นยังคงมาตรการเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลง โดยเชื่อว่าสถานการณ์จะค่อยๆ ดีขึ้น เพราะทหารทั้ง 2 ฝ่ายได้พูดคุยกันในพื้นที่มากขึ้น อีกทั้งมีข้อเสนอให้จัดกิจกรรมร่วมกันและลาดตระเวนด้วยกัน จึงคาดว่าบรรยากาศโดยรวมจะดีขึ้น
อ่านข่าว : กัมพูชาตั้ง คกก.ยื่นฟ้องศาลโลกกรณีพื้นที่พิพาทไทย
ส่วนกรณีที่กัมพูชาจะนำเรื่องร้องต่อศาลโลก จะเข้าข่ายลักษณะเดียวกับกรณีเขาพระวิหารก่อนหน้านี้หรือไม่ นายภูมิธรรม ระบุว่า เรื่องเขาเป็นพระวิหารไม่เกี่ยวกับกรณีนี้ แต่อาจเป็นบทเรียนบางส่วนได้ ซึ่งจะไม่นำเรื่องนี้มาพูด
รมว.กลาโหม ยังกล่าวถึงกรณีมีข้อเสนอให้เปลี่ยนหัวหน้าคณะเจรจาพูดคุยกับกัมพูชา เนื่องจากเป็นคนเดียวกับที่พูดคุยสมัยเขาพระวิหาร ว่า คนที่อยู่กับปัญหาและอยู่กับพื้นที่น่าจะรู้ดีที่สุดว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร โดยต้องให้ส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดพิจารณา รัฐบาลจะรับฟังข้อเท็จจริงและเหตุผล
เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าพึงใจหรือว่าใครชอบใคร ใครอยากได้ใคร เป็นเรื่องที่ว่าประเทศชาติมีปัญหาอยู่ตรงไหน ขอให้นึกถึงผลประโยชน์ตรงนี้มากๆ
เมื่อถามว่า การที่กัมพูชาฟ้องศาลโลกเพียงฝ่ายเดียวจะมีผลอะไรกับไทยหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เป็นเรื่องที่พูดยาก คนฟ้องก็ฟ้องไป คนที่ไม่ยอมรับก็ไม่ไปเข้าสู่กระบวนการ แต่หากมีเงื่อนไขอื่นก็เป็นเงื่อนไขทางกฎหมาย ซึ่งเรื่องของกฎหมายให้กรมสนธิสัญญาต่างประเทศเป็นฝ่ายพูดจะดีกว่า แต่ไทยก็ได้เตรียมความพร้อมและแนวทางในเรื่องนี้ไว้แล้ว ส่วนจะเตรียมไว้อย่างไรขอให้ฟังการชี้แจงเป็นระยะ
อ่านข่าว