วันนี้ (11 มิ.ย.2568) ก่อนเดินทางไปตรวจราชการจังหวัดสุรินทร์ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ตอบสั้น ๆ หลังนักข่าวถามถึง กรณีหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย อ้างถึง ปฏิญญาช็อกมิ้นต์ ในการปรับ ครม.ด้วยการระบุว่า "คงต้องคุยกัน" และเมื่อถูกถามถึงหนังสือที่ สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ แจ้งเรื่องการปรับ ครม. นายกฯก็ตอบว่า "ถึงแล้ว..ใช่ค่ะ" ก่อนจะย้ำว่า เรื่องภายในพรรค ต้องเคลียร์กันเอง ซึ่งตอนนี้ ยังไม่ ปรับ ครม.
ขณะที่ ระหว่างที่นายสุชาติ ชมกลิ่น รองหัวหน้าพรรค เปิดฉากตอบโต้กับนายเอกนัฎ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เชื่อมั่นว่า ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ใหญ่ของพรรคจะยุติ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้น และเดินต่อไปได้ โดยเห็นว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปมการเมืองที่ต้องแก้ด้วยการเมือง ซึ่งไม่เชื่อว่า ปมของพรรคจะลงรอยเดิมที่ไม่ต่างกับพรรคพลังประชารัฐ ที่แตกออกเป็น 2 ฝ่าย
"สุชาติ-เอกนัฎ" โต้กลับปมแตกแยก
เนื่องจากนายสุชาติ ออกมาระบุว่า ไม่รับสายเลขาธิการพรรคเพราะไม่ไว้ใจ เพราะมีคนแจ้งว่า เลขาฯ จะชวนให้ร่วมมือกันล้มหัวหน้าพรรค แต่ได้ตัดสินใจแล้ว จะไม่ร่วมกิจกรรมกับพรรคอีก พร้อมยอมรับว่า เป็นผู้ยื่นหนังสือแจ้งขอปรับ ครม. เพราะรู้สึกอึดอัดต่อสถานการณ์ในพรรค และเชื่อคุณสมบัติของหัวหน้าพรรค จะส่งผลกระทบรัฐบาล และขณะนี้ คงเหลือ 18 สส.เท่านั้น ที่ร่วมลงชื่อด้วย
ขณะที่นายเอกนัฎ ออกมาปฏิเสธว่า ไม่เป็นความจริงที่จะต่อสายไปเพื่อขอจับมือร่วมล้มหัวหน้าพรรค ก่อนจะย้ำว่า ปมภายในพรรค ก็ควรคุยกันตามกติกา ไม่ควรออกมากล่าวหา ให้ร้ายกัน และจนถึงขณะนี้ ยังคงมองว่า พรรคมี สส.ทั้งหมด รวม 36 คน ไม่ได้คิดแตกแยก แบ่งฝ่าย และยังระบุให้ เปิดข้อมูลให้ชัด ว่าใคร ตั้งตัวเป็นผู้มีอิทธิพล และตบทรัพย์ จะได้ดำเนินการทางกฎหมาย
เปิดโมเดล "ธรรมนัส-สุชาติ"
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า การเดินเกมของนายสุชาติ มาจาก "ธรรมนัสคอนเนชั่น" / และเทียบเคียงแล้ว ไม่ต่างกับกรณีเขย่าพรรคพลังประชารัฐ แล้วผลักไปเป็นพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งน่าจะเรียกได้ว่า "ธรรมนัสโมเดล" โดยเริ่มที่การเขย่าให้ สส.ในพรรค แตกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย แล้วดึงกลุ่มหนึ่งมาเป็นพวก พร้อมกับหยิบปัญหาภายในมาต่อรอง เพื่อขอมติขับพ้นสมาชิก จากนั้นค่อยไปรวมตัวกันในพรรคใหม่ ซึ่งกรณีของพรรคพลังประชารัฐ คือ พรรคกล้าธรรม
ส่วนกรณีของพรรครวมไทยสร้างชาติ กำลังถูกจับจ้องไปที่พรรคโอกาสใหม่ ซึ่งขณะนี้นายสุชาติ มี สส.ร่วมกลุ่มด้วย 18 คน และคงเหลือ สส.ในพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฝ่ายนายเอกนัฎ หรือนายพีระพันธุ์ 18 คน โดยมีคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามของหัวหน้าพรรค เป็นเงื่อนไขต่อรอง
แต่ในขณะเดียวกัน กลุ่มนายสุชาติ ก็ยื่นหนังสือแจ้งความจำนงขอปรับ ครม.ซึ่งจากนี้ไปก็จะเป็นการตัดสินใจของนายกฯ แต่เดิม เมื่อครั้งฟอร์ม "ครม.แพทองธาร 1" นายกฯ เคยตัดสินใจเลือกโผ ครม.จากกลุ่มของ สส.พรรคพลังประชารัฐ นำโดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่แตกออกมา ผ่านสัดส่วนโควตา "สส. 7 คน ต่อ 1 ตำแหน่ง" แทนการเลือกโผ จาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค
อ่านข่าว : "เอกนัฏ" ยืนยัน "รทสช." ยังแน่นปึ้ก - ไม่มีสัญญาณ ปรับพ้น ครม.
“รทสช.” ทุนหาย-กำไรหด กลุ่มทุนพลังงานแจ้งเกิด “โอกาสใหม่”
โฆษกชี้ รทสช.ไปต่อได้ แต่คงไม่สุดไปกว่านี้ วอนอย่าเพิ่งด่วนสรุป