และแล้ว “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ก็เดินทางมายังศาลรัฐธรรมนูญ ตามกำหนดนัดไต่สวนพยานบุคคล คดี 36 สว. ยื่นคำร้องขอให้ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ โดยเมื่อช่วงสายวันนี้ (21 ส.ค.2568) สีหน้าของนายกรัฐมนตรีมีรอยยิ้ม แต่มีร่องรอยแฝงไว้ในความเคร่งเครียด
เป็นครั้งแรก หลังคลิปเสียงการสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร (ผู้ถูกร้อง) กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิ สภาแห่งกัมพูชา ถูกนำมาเผยแพร่ เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.2568 และผู้ถูกร้องแถลงข่าวยอมรับว่าเป็นเสียงการสนทนาของตนกับ สมเด็จฮุน เซน จริงและมีเจตนาต้องการสื่อสารเพื่อต้องการความสงบ เนื่องจากทราบข้อมูลจากล่ามว่าสมเด็จ ฮุน เซน โกรธแม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งตนได้คุยกับฮุนเซนว่า ทั้งไทยและกัมพูชาเป็นคู่ขัดแย้งกัน จึงมีการพูดในลักษณะนี้ขออย่าถือสา
สำหรับการไต่สวนนัดนี้มี “นายฉัตรชัย บางชวด” เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เข้าให้ปากคำในฐานะพยานพยานบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิบุคคลเพียงคนเดียวตามที่ศาลฯอนุญาต

จากเดิม น.ส.แพทองธาร ได้ขออนุญาตเพิ่มพยานกรณีพิเศษจำนวน 5 ปาก คือ
- นายฉัตรชัย บางขวด เลขาธิการ สมช.
- นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้สั่งการฝ่ายปกครองด้านชายแดน
- พล.อ.ภุชงค์ รัตนวรรณ ในฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกัมพูชา
- พล.ท.พุฒิพงษ์ ชีพสมุทร รองเจ้ากรมพระธรรมนูญทหาร ในฐานะผู้ชำนาญด้านกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของทหารและเรื่องอำนาจอธิปไตยของประเทศ
- นายธนาธิป อุปัติศฤงค์ อดีตทูตไทยประจำประเทศญี่ปุ่น, ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศรัสเซีย
อ่านข่าว : "ปริญญา" คาดผลวินิจฉัย คดีคลิปเสียง "แพทองธาร" คุย "ฮุนเซน"
ปฏิกิริยายิ้มสู้ของ “น.ส.แพทองธาร” ก่อนถูกศาลฯเรียกไต่สวน ท่ามกลางกระแสข่าว “ดีลลับ” 5 :4 และ “ปิดจบ” ด้วยความสามารถในการ “บริหารคดี” ผ่านทางผู้นำจิตวิญญาณพรรคเพื่อไทย ไม่เพียงสร้างความมั่นใจให้กับสส.พรรคเพื่อไทยว่า “นายกฯ” จะพ้นบ่วงจากคดี ซึ่งความหวังทางการเมือง คือ ทำให้พรรคฯฝ่าคลื่นลมแรงได้ไปต่อ และพร้อมจะสู้จนสุดทาง ไม่ว่านายก ฯของพรรคเพื่อไทย จะเปลี่ยนชื่อจาก “แพทองธาร” เป็น “ชัยเกษม นิติสิริ” ก็ตาม

หากย้อนดูคำชี้แจงโต้ข้อกล่าวหาของนายกฯ ในคดีดังกล่าวต่อศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนจะเข้าให้ปากคำ ระบุว่า การกระทำของตนเองตามข้อกล่าวหาของผู้ร้อง ไม่เป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2564 แต่อย่างใด ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิและตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนในความสุจริตและเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งแต่ประการใด
และการใช้ถ้อยคำว่า "อยากได้อะไรก็ขอให้บอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้" เป็นเพียงเจตนาต้องการให้คู่เจรจาได้เสนอเงื่อนไขหรือความต้องการออกมาก่อน ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการเจรจาเชิงผลประโยชน์ (Principled Negotiation) โดยการใช้เทคนิคสำคัญคือ การตั้งคำถามเพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริง (Interest - Based) ไม่มีเจตนาที่จะดำเนิน การตามเงื่อนไขที่เสนอมาทุกกรณีแต่อย่างใด
ส่วนประเด็นที่กล่าวถึง แม่ทัพภาค 2 (พลโทบุญสิน พาดกลาง) ว่าเป็น “ฝั่งตรงข้าม” นั้น ดังที่ข้าพเจ้าได้ชี้แจงข้างต้นว่า นายฮวด คนสนิทของสมเด็จฮุน เซน พยายามอธิบายมูลเหตุของการที่สมเด็จ ฮุน เซน สั่งการให้มีการปิดด่านชายแดนของฝ่ายกัมพูชา เนื่องมาจากความไม่พอใจของสมเด็จฮุน เซน ที่มีต่อ แม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) เป็นการเฉพาะเจาะจง
อ่านข่าว : วิเคราะห์ : เปลี่ยนม้ากลางศึก? ประเมิน 3 ฉากทัศน์การเมือง
ข้าพเจ้าจึงจําต้องใช้เทคนิคการเจรจาที่ แบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล ไม่ได้เป็นการตําหนิติเตียนในทางลบหรือแสดงให้เห็นว่าแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลไทยแต่อย่างใด

แต่เป็นการอธิบายสถานการณ์ต่อฝ่ายกัมพูชาในเชิงสร้างความเข้าใจว่า ฝ่ายบริหารของไทยมีเจตนาที่จะรักษาสันติ และไม่ได้เป็นการโอนอ่อนหรือเอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากแต่เป็นการดำเนินนโยบายโดยอาศัยหลักทางการทูต เพื่อรักษาเสถียรภาพของประเทศและป้องกันความขัดแย้งที่อาจลุกลาม
อ่านข่าว : "ภูมิธรรม" ขอ "แพทองธาร" ขึ้นศาลราบรื่น โต้กระแสวิ่งเต้นมติ 5:4
สำหรับประเด็นที่นายกฯ ชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญนั้น แม้จะถูกสังคมตั้งข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่า การกระทำเป็นเครื่องส่อเจตนา เป็นข้อแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้น ซึ่งประชาชนทั้งประเทศให้ความสนใจ
แต่ศาลไม่อนุญาตให้มีการถ่ายทอดภาพและเสียงในการไต่สวน เนื่องจากพยานบุคคลที่มาให้ถ้อยคำเป็นพยานคู่ และเป็นคดีที่เป็นความลับเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ ห้ามไม่ให้ผู้เข้ารับฟังการไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญ นำข้อ ความการไต่สวนออกไปเผยแพร่และห้ามไม่ให้บิดเบือนข้อเท็จจริง หรือข้อกฎหมายในลักษณะการสร้างความเข้าใจผิดต่อสาธารณะ

ดังนั้นคงต้องคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลฯ อย่างละเอียดในนัด ชี้ชะตาอนาคตทางการเมืองของ “นายกฯ” วันที่ 29 ส.ค.นี้ ซึ่งหากนับถอยหลัง เหลือเวลาไม่ถึง 10 วัน แต่ไม่ว่า “แพทองธาร” จะ “รอด” หรือ “ร่วง” คำถามที่ยังไม่มีคำตอบคือ ถ้าเป็นนายกฯ ต่อไป จะแก้ปัญหาประเทศไทยอย่างไร ไม่ว่าจะเป็น แก้ปัญหาปากท้อง เศรษฐกิจ และปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา และมีแนวโน้มว่า อนาคตอันใกล้ รัฐบาลอาจต้องเผชิญกับสภาวะวิกฤตศรัทธาประชาชน
ขณะเดียวกัน ยังต้องกังวลว่า จะถูกประชาชนลุกขึ้นมาขับไล่อีกหรือไม่ และพรรคเพื่อไทยจะยื้อเวลาเพื่อไปต่ออย่างไร การผ่าทางตัน เปลี่ยนหน้าไพ่ ด้วยการลาออก -เปลี่ยนตัวนายกฯ จึงเป็นโจทย์ยากและใหญ่ของตระกูลชินวัตร
ส่วนการส่งนายกฯสำรองจากพรรคร่วมที่เหลือ คือ “พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค” หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ หรือ “จุรินทร์ ลักษณะวิศิษฎ์” พรรคประชาธิปัตย์มาเป็นแกนนำรัฐบาลคงไม่ง่าย และพรรคเพื่อไทยคงไม่ยอม ยกเว้นเกิดอุบัติเหตุการเมือง เช่น “พรรคแตก” สส.ค่ายเพื่อไทย เมิน “ชัยเกษม” และหันมาเทเสียงให้พรรคฝ่ายค้าน “ภูมิใจไทย” ซึ่งยากกว่าเข็นครก แต่สำหรับการเมืองไทยก็ไม่ได้หมายความว่า เกิดขึ้นไม่ได้
คงต้องมาลุ้นต่อว่า วันพรุ่งนี้ (22 ส.ค.) ศาลอาญาจะชี้ชะตา “ทักษิณ ชินวัตร” ในคดี 112 อย่างไร และปัจจัยนี้จะส่งผลต่อตำแหน่งนายกฯของ “แพทองธาร” ด้วยเช่นกัน ถือเป็นวิบากกรรมครั้งใหญ่ของพรรคเพื่อไทยและตระกูลชินวัตรที่น่าจับจ้อง
กิ่งอ้อ เล่าฮง รายงาน
อ่านข่าว
"สิงห์ (ภูมิธรรม) ดำ" กระชับมหาดไทย จัดทัพ "ปกครอง" รับเลือกตั้ง