ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

หอการค้า จี้รัฐเร่งแก้ “บาทแข็ง” ฉุดส่งออกแข่งขันยาก

เศรษฐกิจ
10:40
232
หอการค้า จี้รัฐเร่งแก้ “บาทแข็ง” ฉุดส่งออกแข่งขันยาก
อ่านให้ฟัง
09:05อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
หอการค้าไทยชี้เงินบาทแข็งค่ารุนแรง สวนทางเศรษฐกิจ กระทบหนักภาคธุรกิจ จี้รัฐเร่งหามาตรการรองรับ ก่อนฉุดส่งออกไทยแข่งขันยาก สาเหตุหลักดอลลาร์อ่อน ทองทำปรับตัวสูงต่อเนื่อง รวมถึงมาตรการภาษีสหรัฐฯ ด้านกรุงศรีคาดเงินบาทสัปดาห์นี้ซื้อขายในกรอบ31.80-32.50

วันนี้(9 ก.ย.2568)นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องจนแตะระดับ 31.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นการแข็งค่าที่รวดเร็วและรุนแรงที่สุดในรอบหลายปี และสวนทางกับทิศทางเศรษฐกิจจริงของประเทศ ว่า การแข็งค่าของเงินบาทส่งผลกระทบโดยตรงต่อ ภาคการส่งออก การท่องเที่ยว และเกษตรกรรม ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ไม่ว่าจะเป็น ภาคการส่งออก ต้องเผชิญการแข่งขันที่ยากลำบาก เนื่องจากราคาสินค้าไทยสูงขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง ส่งผลต่อยอดขายและรายได้จากต่างประเทศ

ภาคการท่องเที่ยว ความแข็งค่าของเงินบาททำให้ประเทศไทยมีต้นทุนการท่องเที่ยวสูงขึ้นในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติ ลดแรงจูงใจในการเดินทางมาไทย รวมถึงภาคเกษตรกรรม เกษตรกรไทยที่พึ่งพาการส่งออกได้รับผลกระทบหนักจากต้นทุนและรายได้ที่ไม่สอดคล้องกับค่าเงิน โดยเฉพาะข้าวนาปี และพืชไร่ที่กำลังจะออกมา

ประธานกอการค้าไทย กล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้เงินบาทแข็งรุนแรงกว่าประเทศอื่นในครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากปัจจัยในประเทศเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลจาก เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า เนื่องจากตลาดคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในระยะต่อไป ทำให้ค่าเงินของหลายประเทศในภูมิภาคแข็งค่าขึ้นโดยอัตโนมัติ

และปัจจัยด้านทองคำ ประเทศไทยมีการถือครองทองคำจำนวนมาก และราคาทองคำในตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการขายทองคำออกมาเป็นเงินตราต่างประเทศ และแปลงกลับเป็นเงินบาท ส่งผลให้มีความต้องการเงินบาทเพิ่มขึ้น ทำให้เงินบาทแข็งค่ามากกว่าประเทศคู่ค้าอย่างผิดปกติ รวมถึงมี fund flow ที่เข้ามาประเทศด้วย ซึ่งอาจจะมาจากพวก Crypto ด้วย

นอกจากนี้ยังมี ปัจจัยภายนอกที่ซ้ำเติมความเปราะบาง ได้แก่มาตรการภาษีตอบโต้ (tariff) ที่หลายประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะสหรัฐฯ และยุโรป กำลังทบทวนหรือพิจารณาเพิ่มเติม ซึ่งจะกระทบความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยและยิ่งซ้ำเติมผลกระทบจากเงินบาทแข็ง ข้อจำกัดด้านการแทรกแซงค่าเงิน การที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าไปดูแลค่าเงินบาทอย่างเข้มข้นอาจทำให้ไทยถูกเพ่งเล็งว่า บิดเบือนค่าเงิน โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งประเด็นดังกล่าวยังเชื่อมโยงกับ การเจรจาภาษีการค้าและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย–สหรัฐฯ ที่กำลังดำเนินอยู่ จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องวางนโยบายอย่างรอบคอบ

โดยที่ผ่านมาหอการค้าไทยและคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) เคยเสนอแนวทางว่า ควร แยกดุลทองคำออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน เพื่อให้สามารถประเมินผลกระทบต่อค่าเงินได้ตรงจุด พร้อมทั้งเสนอให้ ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาจัดการดูแลในส่วนนี้อย่างเป็นระบบ เพราะหากปล่อยให้กลไกค่าเงินผันผวนโดยไม่สะท้อนศักยภาพที่แท้จริงของเศรษฐกิจไทย จะทำให้ผู้ประกอบการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับประเทศคู่ค้า

หากปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อ แม้ภาครัฐจะใช้เงินทุนสำรองเข้ามาแทรกแซงเพื่อรักษาอัตราแลกเปลี่ยน ก็อาจต้องใช้เงินจำนวนมากและเสี่ยงต่อการสูญเปล่าโดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง

นายพจน์ กล่าวอีกว่า หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จึงขอเรียกร้องให้ รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย เร่งพิจารณามาตรการที่เหมาะสมอย่างเร่งด่วน เพื่อดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่สะท้อนสภาพเศรษฐกิจจริงและไม่บั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย

“เงินบาทที่แข็งค่าเกินไป ไม่ได้สะท้อนศักยภาพที่แท้จริงของเศรษฐกิจไทย แต่กลับทำลายขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วน”

ขณะที่กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่าเงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 31.80-32.50 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดแข็งค่าที่ 32.19 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในกรอบ 32.19-32.46 บาท/ดอลลาร์ เงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่ ขณะที่ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนผันผวนเพิ่มขึ้น โดยช่วงต้นสัปดาห์นักลงทุนเทขายพันธบัตรระยะยาวในกลุ่มเศรษฐกิจหลัก นำโดยอังกฤษ และญี่ปุ่น ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลการคลัง

นอกจากนี้ เงินเยนเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมืองครั้งใหม่ในญี่ปุ่นหลังผู้บริหารระดับสูงสี่คนของพรรค LDP ประกาศลาออก อย่างไรก็ดี ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลงขณะที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)สาขานิวยอร์คระบุว่าการตรึงนโยบายการเงินที่เข้มงวดไว้นานเกินไปจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการจ้างงาน ขณะที่ยังไม่เห็นผลกระทบรอบที่สอง (Second Round Effect) ของภาษีศุลกากรต่อเงินเฟ้อ ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทย 689 ล้านบาท แต่ขายพันธบัตรสุทธิ 2,128 ล้านบาท

สำหรับในสัปดาห์นี้ นักลงทุนจะให้ความสนใจกับรายงานข้อมูลเงินเฟ้อเดือนสิงหาคมของสหรัฐฯ เพื่อประเมินว่าต้นทุนภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นจะถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภคมากน้อยเพียงใด ขณะที่ตลาดมั่นใจมากขึ้นว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 25bp ในการประชุมวันที่ 16-17 กันยายน หลังข้อมูลจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนสิงหาคมอ่อนแอเกินคาดและการทบทวนตัวเลขบ่งชี้ว่าการจ้างงานเดือนมิถุนายนหดตัว

นอกจากนี้ ตลาดจะติดตามประเด็นทางการเมืองในญี่ปุ่นและฝรั่งเศส รวมถึงการประชุมธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี)วันที่ 11 กันยายน ซึ่งมีแนวโน้มคงดอกเบี้ยที่ 2.00% เป็นครั้งที่สองติดต่อกัน แม้เราคาดว่าการสื่อสารของอีซีบีจะยังคงเปิดทางเลือกไว้สำหรับการลดดอกเบี้ยในระยะถัดไป แต่ภาวะที่การลดดอกเบี้ยนโยบายมาใกล้สุดทางแล้วเมื่อเทียบกับฝั่งสหรัฐฯจะเป็นประเด็นลบต่อค่าเงินดอลลาร์

สำหรับปัจจัยในประเทศ ดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI) เดือนสิงหาคมของไทยลดลงเป็นเดือนที่ห้าติดต่อกัน โดย CPI ลดลง 0.79% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลของราคาพลังงานและอาหารสดที่อ่อนตัวลง กระทรวงพาณิชย์คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะติดลบ 0.66% ในไตรมาส 3/68 และติดลบ 0.24% ในไตรมาส 4/68 สำหรับดัชนี CPI พื้นฐานซึ่งไม่รวมราคาพลังงานและอาหารสด เพิ่มขึ้น 0.81% ในเดือนสิงหาคม ทั้งนี้ ในช่วงเดือน 8 เดือนแรกของปี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ 0.08% และ 0.94% ตามลำดับ

อ่านข่าว:

ส่งออก CBAM ไทยโตแรง 29% สนค. ชี้โอกาสทองก่อนเส้นตายปี 2569

"ข้าวไทย" หืดจับ พณ.-เอกชน กระชับส่วนแบ่ง "ตลาดข้าว"ส่งออก

โจทย์ท้าทายกระตุ้นเศรษฐกิจ "อนุทิน" ฟื้นคนละครึ่ง เดินหน้ารถไฟฟ้า 20 บาท