อีก 2 สัปดาห์ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)หรือแบงก์ชาติ คนที่ 24 จะหมดวาระและจะส่งไม้ต่อให้กับผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ นายวิทัย รัตนากร โดยตลอด 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2563-2568)ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง หลายเรื่องไม่เคยปรากฏมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตโรคระบาด สงครามที่ส่งผลเป็นวงกว้าง ไปจนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่หยั่งรากลึกมานาน

ดร. เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนที่ 24
ดร. เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนที่ 24
ดังนั้น ในฐานะองค์กรที่ดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินของประเทศ ที่ต้องดำเนินนโยบายอย่างรอบคอบและยืดหยุ่น ไม่ใช่เพียงเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังต้องวางรากฐานให้เศรษฐกิจแข็งแรงพอที่จะเติบโตได้อย่างยั่งยืน ภายใต้ภารกิจหลัก 3 ด้าน คือ การรักษาเสถียรภาพโดยรวม (macro-financial stability) การวางรากฐานภาคการเงินสำหรับอนาคต (Financial Landscape) และการคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (Consumer protection) หัวใจสำคัญของการดำเนินนโยบาย คือ การผสมผสานใช้เครื่องมือที่หลากหลาย หรือ "Integrated Policy Mix"
ดร. เศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ธปท. ตระหนักดีว่า เครื่องมือหลักอย่างคือดอกเบี้ยจะส่งผลกระทบในวงกว้าง (Blunt Tool) อาจไม่เหมาะกับทุกสถานการณ์ ดังนั้น การแก้ปัญหาที่ซับซ้อนจึงต้องอาศัยเครื่องมืออื่น ๆ ร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นมาตรการทางการเงินระยะสั้นที่ตรงจุด หรือการปฏิรูปเชิงโครงสร้างในระยะยาว
ชี้ ปี 2563 - 2564: รับมือวิกฤตฉุกเฉิน (COVID-19)

โดยในช่วงปี 2563 กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักอย่างฉับพลันจากมาตรการ lockdown ในช่วงการระบาดของ COVID-19 GDP หดตัวมากที่สุดในรอบ 22 ปี ที่ 6.1% การท่องเที่ยวที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจแทบจะเป็นอัมพาต จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เคยมี 40 ล้านคนต่อปีลดลงเหลือเกือบศูนย์ ขณะที่อัตราการว่างงานพุ่งสูงขึ้น เพราะกิจการไม่สามารถเปิดทำการได้ตามปกติ
ภาวะวิกฤตเป้าหมายของ ธปท. คือ ดำเนินมาตรการให้ทันท่วงทีและต้องยืดหยุ่นพร้อมปรับเปลี่ยน เพื่อพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ทรุดลงมาก รวมทั้งดูแลให้ระบบการเงินและระบบสถาบันการเงินยังทำงานได้ปกติและสามารถส่งผ่านความช่วยเหลือไปถึงผู้ได้รับผลกระทบได้
โดยในช่วงดังกล่าว กนง. ได้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วและต่อเนื่องจนสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.5% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าหลายประเทศในภูมิภาค ควบคู่กับการออกมาตรการทางการเงิน ทั้งแก้หนี้เดิมและเติมเงินใหม่ ไม่ว่าจะเป็น การออกมาตรการพักชำระหนี้แบบ ปูพรม ให้กับลูกหนี้ธุรกิจและครัวเรือนในวงกว้างเป็นเวลา 3 – 6 เดือนตามประเภทสินเชื่อ

มาตรการแบบปูพรมนั้นมีต้นทุนสูงและอาจสร้างผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ในระยะยาว เช่น บั่นทอนวินัยทางการเงิน (moral hazard) จึงได้ปรับปรุงมาตรการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้นสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป โดยปรับมาตรการพักชำระหนี้วงกว้างให้เป็นการพักหนี้แบบสมัครใจ (opt-in) ไปจนถึงการปรับโครงสร้างหนี้ในช่วงหลัง
ส่วนมาตรการเติมเงินใหม่ ก็ได้ปรับจากสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) ในระยะแรก เป็น สินเชื่อฟื้นฟู ที่มีเงื่อนไขยืดหยุ่นขึ้น ทำให้สินเชื่อในช่วงนั้นยังขยายตัวได้ และ โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ที่เน้นช่วยให้ธุรกิจโรงแรมที่ได้รับผลกระทบสูงยังสามารถรักษาทรัพย์สินไว้และไปต่อได้
การปรับมาตรการที่ยืดหยุ่นและตรงจุดนี้ สะท้อนหลักคิดในการดำเนินนโยบายที่พร้อมปรับตัว และการขับเคลื่อนมาตรการอย่างจริงจังเพื่อให้การช่วยเหลือเกิดประสิทธิผลสูงสุด ทำให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อได้ GDP ขยายตัว 1.6% ในปี 2564 ระบบการเงินโดยรวมยังทำงานได้ไม่สะดุด และกลไกสินเชื่อสามารถเป็นที่พึ่งให้กับเศรษฐกิจต่อไปได้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด โดยโครงการสินเชื่อฟื้นฟู และโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ถูกใช้เกือบเต็มวงเงินที่3.5 แสนล้านบาท ช่วยธุรกิจได้กว่า 6.7 หมื่นราย

ปี 2565: ประคองการฟื้นตัวท่ามกลางเงินเฟ้อ
ขณะที่เศรษฐกิจไทยกำลังค่อย ๆ ฟื้นตัวในลักษณะที่ไม่ทั่วถึง (K-shaped Recovery) ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายระลอกใหม่จากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งส่งผลให้ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น ประเทศเศรษฐกิจหลักหลายประเทศเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อัตราเงินเฟ้อไทยพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบหลายปีที่ 7.9% (เดือน ส.ค. 2565) สถานการณ์ดังกล่าวสร้างโจทย์ที่ยากลำบาก คือ การรักษาสมดุลระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อ กับการสนับสนุนให้เศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่อง ไม่สะดุด (smooth take-off) โดยในช่วงเวลานั้น ธปท. ถูกแรงกดดันให้ขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงเหมือนหลายประเทศที่ปรับแบบก้าวกระโดด เพราะมองว่าไทยขึ้นดอกเบี้ยช้าเกินไป (behind the curve)
ธปท. ได้เลือกดำเนินนโยบายการเงินที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศ โดยทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป (gradual and measured) ไม่ได้เร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงเหมือนธนาคารกลางขนาดใหญ่หลายแห่ง เนื่องจากเห็นว่าเงินเฟ้อของไทยมีสาเหตุหลักมาจากปัจจัยด้านอุปทาน (cost-push inflation) ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นชั่วคราว อีกทั้งเศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่และไม่ได้ขยายตัวร้อนแรงเหมือนประเทศอื่น การใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากไป (เหยียบเบรก) จึงอาจกระทบการฟื้นตัวโดยไม่จำเป็น

ขณะเดียวกัน ธปท. ได้ทยอยถอนมาตรการ ปูพรม บางส่วน เพื่อปรับให้นโยบายสู่ภาวะปกติและลดผลข้างเคียงต่อระบบการเงิน เช่น ปรับอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (Financial Institutions Development Fund: FIDF) ของสถาบันการเงินกลับมาเป็นปกติที่ 0.46% จากที่ปรับลดเหลือ 0.23% ในช่วงโควิด ขณะที่อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำของบัตรเครดิต ธปท. ยังขอให้คงการลดอัตราฯ ไว้ที่ 5% จนถึงปี 2566 ก่อนที่จะให้ทยอยปรับอัตราฯ ขึ้นเป็น 8% ต่อไป
ปี 2566 - 2567: วางรากฐานทางการเงินเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน
เมื่อแรงกดดันด้านเงินเฟ้อคลี่คลายลง เศรษฐกิจโลกกลับเผชิญความผันผวนระลอกใหม่ ทั้งจากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นในประเทศเศรษฐกิจหลักและการชะลอลงของเศรษฐกิจจีน ส่วนเศรษฐกิจไทยแม้จะฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่กลับเติบโตได้ไม่ดีเท่าที่ควร โดยภาคการผลิตและอุตสาหกรรมชะลอลง ซึ่งไม่ได้มาจากปัจจัยเชิงวัฏจักรภายนอกเท่านั้น แต่ยังสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศที่สะสมมานาน ทั้งศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจที่ลดลงและปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงราว 90% ต่อ GDP

ดังนั้นการดำเนินนโยบายในช่วงนี้ เน้นปรับเข้าสู่ระดับที่ช่วยรักษาสมดุลของเศรษฐกิจในระยะ
ปานกลางควบคู่ไปกับการวางรากฐานสำหรับอนาคต นอกจากการปรับมาตรการระยะสั้นให้อยู่ในจุดสมดุล ธปท. ยังให้ความสำคัญกับนโยบายระยะยาวเพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจ ทั้งหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และการพัฒนาภาคการเงินให้สามารถสนับสนุนการปรับตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป
ปี 2568-ปัจจุบัน: สนับสนุนการปรับตัวรับโลกใหม่
ล่าสุด เศรษฐกิจไทยยังพบกับความท้าทายเพิ่มเติมจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ (US Tariffs) ซึ่งเป็น พายุลูกใหญ่ ที่จะส่งผลกระทบต่อทิศทางการค้าและการลงทุนทั่วโลก รวมทั้งกดดันภาคการผลิตและการส่งออกของไทยให้ต้องเร่งปรับตัว ธปท. จึงปรับทิศทางนโยบายการเงินให้ผ่อนคลายมากขึ้น ขณะที่ยังให้ความสำคัญกับการรักษาพื้นที่ทางนโยบาย (policy space) ไว้รองรับความไม่แน่นอนในอนาคต

ดร. เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนที่ 24
ดร. เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนที่ 24
เป้าหมายหลักของการทยอยปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 4 ครั้ง (ตั้งแต่ปลายปี 2567- เดือน ส.ค. 2568) สู่ระดับ 1.5% ในช่วงนี้ ไม่ใช่เพื่อ กระตุ้น เศรษฐกิจในระยะสั้น แต่เป็นการ ผ่อนคลายภาวะการเงินและ บรรเทาภาระ ให้กับภาคธุรกิจและครัวเรือนที่เปราะบาง เพื่อเอื้อต่อการปรับตัวรับโครงสร้างเศรษฐกิจโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปได้
นอกจากการผ่อนคลายภาวะการเงินแล้ว ธปท. ยังได้ออกมาตรการภายใต้โครงการ คุณสู้ เราช่วยเพื่อช่วยกลุ่มเปราะบางที่มีศักยภาพให้สามารถรักษาทรัพย์สิน และลดภาระหนี้เพื่อให้ลูกหนี้กลับมาจ่ายไหว (ตัวเบาขึ้น) และไปต่อได้
การเดินทางตลอด 5 ปีที่ผ่านมาสอนว่า การดูแลเศรษฐกิจของประเทศไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ทุกการตัดสินใจล้วนมาจากการชั่งน้ำหนักปัจจัยรอบด้านภายใต้ข้อมูลที่ดีที่สุด ณ เวลานั้น และต้องพร้อมเรียนรู้และปรับเปลี่ยนเสมอ ภารกิจของธนาคารกลางไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่คือการทำงานหนักในวันนี้ เพื่อสร้างเสถียรภาพและรากฐานที่แข็งแกร่งให้เศรษฐกิจไทยสำหรับวันข้างหน้า
ห่วงภาคการคลังไม่ได้แข็งแรงเหมือนอดีต
ผู้ว่าแบงก์ชาติกล่าวอีกว่า หากมองไปข้างหน้ามีความกังวล เรื่องเสถียรภาพการคลัง ที่ยังมีประเด็นต้องจับตา เพราะภาคการคลังไม่ได้แข็งแรงเหมือนอดีต ยิ่งช่วงโควิดใช้ทรัพยากรค่อนข้างมาก แต่สิ่งที่อยากเห็นหลังจากนี้ คือ เมื่อใช้กระสุนแล้ว ต้องมีการรัดเข็มขัด เพื่อให้ฐานะการคลังกลับมาสร้างเสถียรภาพระยะปานกลางให้สูงขึ้น

สำหรับมิติปกติของเศรษฐกิจ เกิดได้ 3 เรื่องหลัก ได้แก่ การคลัง ดุลชำระเงิน-ค่าเงิน และหนี้จากสถานบันการเงิน ซึ่งในภาพรวมขณะนี้ยังไปได้ แต่เรื่องที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ คือ เรื่องการดูแลเสถียรภาพการคลัง ไม่เช่นนั้นแรงโน้มถ่วงจะนำไปสู่การใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งยังไม่เห็นว่ามีความจำเป็น เพราะกระสุนที่มีอยู่มีจำกัด มีความเสี่ยงหากต้องนำมาใช้ในช่วงที่จำเป็น และเสี่ยงที่ประเทศจะถูกปรับลดอันดับเครดิตเรตติ้ง
เพราะช่วงเกิดวิกฤตรัฐบาลมีรายจ่ายเร่งขึ้น ส่วนรายได้ลดลง ขณะที่การขาดดุล และหนี้เพิ่มขึ้น โดยค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา รายจ่ายรัฐบาลเติบโต 4% ส่วนรายได้ โตเพียง 1.7% หากปล่อยไปเช่นนี้สัญญาณที่จะเกิดขึ้น จะไม่สอดคล้องกับความยั่งยืน และมีความเสี่ยงในการโดยปรับลดเครดิตเรตติ้งประเทศ

ผู้ว่าแบงก์ชาติ กล่าวว่า กรอบความยั่งยืนทางการคลัง ยังไม่เห็น สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีที่เพิ่มขึ้นยังไม่ได้ลดลง และสมมติฐานที่ใส่ไว้ปรับลดลงได้ไม่ง่าย เพราะเห็นแนวโน้มรายได้ของรัฐชะลอตัวลง ส่วนรายจ่ายมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น ไม่สอดคล้องกับเทรนด์ หรือภาพที่เห็นในอดีต จึงเป็นที่มาของเครดิตเรทติ้งที่จับตาดู
ขณะที่การแก้ปัญหาหนี้สิน ยังเป็นเรื่องที่ต้องทำ ซึ่งมองว่าจะต้องแก้จากปัญหารายได้ของประชาชน และปรับโครงสร้างหนี้
ภาพระยะยาว ยังมีความกังวลเรื่องสินเชื่อเอสเอ็มอี เทรนด์ค่อนข้างเห็นได้ชัดเจน โดยหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เอสเอ็มอีอยู่ 7% ขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่อยู่ที 1% ซึ่งปัญหาที่เผชิญเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งมองว่ากลไกค้ำประกัน เช่น NACGA ยังจำเป็น หรือหากไม่ใช้ส่วนนี้ ก็สามารถปรับเป็นรูปแบบอื่นก็ได้ เช่น การปรับกลไกของบสย. เพราะหากไม่มีส่วนใดมาช่วย การฟื้นของสินเชื่อจะยากมาก
เงินบาทผันผวน-มาตรการแก้ปัญหา
ผู้ว่าแบงก์ชาติ กล่าวว่า สาเหตุที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นถึง 7% ช่วงต้นปี 2568 หลักๆมาจากเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง เพราะธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มจะลดอัตราดอกเบี้ยลง นอกจากนี้ ยังมีอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าเงินบาทนั่นคือ ธุรกรรมการซื้อขายทองคำ ซึ่งคนไทยนิยมซื้อขายเป็นเงินบาท ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเงินบาท-ดอลลาร์สหรัฐในปริมาณมาก และดันให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ล่าสุดมีการหารือร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้องโดยมีหลายแนวทางที่พูดคุยกันอยู่ เช่น ภาษีทอง, การซื้อขายทองในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
อ่านข่าว:
ตลาดอาหารหมา-แมวคึกคึก ไทยขึ้นแท่นเบอร์2 ส่งออกโลก
ฟื้น "คนละครึ่ง" รัฐบาลอนุทิน กระตุ้น (คะแนนเสียง) เศรษฐกิจสีเงิน
"ข้าวไทย" หืดจับ พณ.-เอกชน กระชับส่วนแบ่ง "ตลาดข้าว"ส่งออก