ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ทบ.ย้ำบ้านหนองหญ้าแก้วของไทย ซัด "ฮุน มาเนต" บิดเบือนข้อมูลในเวทีโลก

การเมือง
16:35
112
ทบ.ย้ำบ้านหนองหญ้าแก้วของไทย ซัด "ฮุน มาเนต" บิดเบือนข้อมูลในเวทีโลก
โฆษกกองทัพบก เผยชาวกัมพูชาชุมนุมประท้วงบ้านหนองหญ้าแก้ว มีพฤติการณ์ยั่วยุทำร้ายทหารไทย ย้ำไม่ใช่พื้นที่พิพาททับซ้อนเป็นดินแดนไทย 100% ซัดกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ไม่จริงใจแก้ปัญหา บอก​นายกฯ มาเลเซีย​ อย่ารับข้อมูล​เท็จกัมพูชา​ฝ่ายเดียว​

วันนี้ (19 ก.ย.2568) พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาหลังจากที่มีข้อตกลงหยุดยิง ตั้งแต่เวลา 00.00 น.ของวันที่ 28 ก.ค.2568 นับจากช่วงเข้า 29 ก.ค. จนถึงวันนี้ ก็เป็นเวลา 53 ซึ่งไทยมีความพยายามในการเข้าร่วมประชุมหารือเพื่อเห็นชอบร่วมกันผ่านการประชุมต่างๆ การประชุมในระดับ GBC เมื่อวันที่ 7 ส.ค. ที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งได้ข้อสรุปร่วมกันจำนวน 13 ข้อ เพื่อยุติความรุนแรงตามแนวชายแดน และวางกลไกเพื่อรักษาสันติภาพทำให้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 และพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 มีทิศทางที่ดีขึ้นหลายประการ

โดยกำลังทหารของฝ่ายไทยได้ยึดมั่นและปฏิบัติตามข้อตกลงมาโดยตลอด รวมทั้งได้มีการเตรียมความพร้อมเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แต่พบว่าฝ่ายทหารของกัมพูชา ยังมีความพยายามในการดำเนินการต่างๆ ที่ยังถือว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงในหลายประการ ทั้งการใช้อาวุธ และการยั่วยุ รวมถึงการใช้โดรน การเผยแพร่ข่าวสารที่บิดเบือน และการชุมนุมของชาวบ้านในพื้นที่เขตแดนของประเทศไทย และการให้ข้อมูลข่าวสารของทางการกัมพูชาในเวทีโลก

ซึ่งในส่วนของการใช้อาวุธ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไทยได้พบหลักฐานที่แสดงว่ากัมพูชามีความพยายามในการใช้ทุ่นระเบิด เป็นทุ่นระเบิด PMN-2 หลังจากข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งหลักฐานหรือสิ่งบ่งชี้คือการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งทำให้ทหารได้รับบาดเจ็บ 2 ครั้ง คือในวันที่ 9 , 12 และ 27 ส.ค. ที่ช่องกฤษณา ปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมือนธม นอกจากนั้นศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติยังพบทุ่นระเบิดใหม่ และทุ่นระเบิดอยู่ในสภาพใหม่ พร้อมใช้งาน ซึ่งผลของการปฏิบัติ ตั้งแต่ 10-23 ส.ค.สามารถเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลจำนวน 122 ทุ่น ทุ่นระเบิดต่อต้านยานพาหนะ จำนวน 4 ทุ่น สรรพาวุธที่ยังไม่ระเบิด 50 รายการ สรรพาวุธที่ถูกทิ้งไว้ในพื้นที่ 1,575 รายการ

สำหรับการใช้อาวุธปืนเล็กยิงก่อกวนเจ้าหน้าที่ทหาร ตามที่หน่วยในพื้นที่ชายแดน ทภ.2 ได้ตรวจพบและบันทึกหลักฐานนำส่งรายงานมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ

เมื่อวันที่ 29 ก.ค.2568 เวลา 21.30 น. ในบริเวณพื้นที่ช่องคานม้า ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ พบกองทัพกัมพูชาใช้อาวุธปืนเล็กยิงเข้าใส่แนวกำลังฝ่ายไทย เป็นเหตุให้เกิดการปะทะจนถึงเวลา 22.00 น. จึงยุติ

เมื่อวันที่ 29 ก.ค.2568 ตั้งแต่เวลา 22.00 น. ในพื้นที่เขาพระวิหาร บริเวณภูมะเขือและห้วยตามาเรีย จ.ศรีสะเกษ พบกองทัพกัมพูชาใช้อาวุธปืนเล็กยิงอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับใช้อาวุธยิงสนับสนุนประเภทเครื่องยิงลูกระเบิด ฝ่ายไทยจึงจำเป็นต้องใช้สิทธิตามหลักสากลในการตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง การยิงจากฝ่ายกัมพูชายังคงเกิดขึ้นเป็นระยะจนถึงช่วงเช้าวันที่ 30 ก.ค.2568

เมื่อวันที่ 30 ก.ค.2568 เวลา 05.17 น. ในพื้นที่ผามออีแดง จ.ศรีสะเกษ ตรวจพบการยิงเครื่องยิงลูกระเบิดจากฝั่ง กัมพูชา เข้ามาในเขตแดนประเทศไทยอย่างชัดเจน

การแสดงออกถึงพฤติกรรมการยั่วยุซึ่งภายหลังข้อตกลงหยุดยิงที่ทางไทยและกัมพูชาได้ให้ร่วมกันไว้ ฝ่ายกัมพูชาก็ยังคงพยายามแสดงออกถึงพฤติกรรมต่างๆ เพื่อมุ่งหวังให้กระทบต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทหารไทยอย่างต่อเนื่อง ได้แก่

การใช้อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) บินลาดตระเวนรุกล้ำเขตแดนไทยซึ่งถือว่าเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงของประเทศ ที่อาจส่งผลต่อการปฏิบัติการทางทหาร โดยในห้วง 28 ก.ค.–16 ก.ย.2568 (หลังข้อตกลงหยุดยิง) ตรวจพบรวมทั้งสิ้น 2,905 ครั้ง ( มากที่สุดในบริเวณพื้นที่ตอนในของ ทภ.2 ) ในพื้นที่ ทภ.2 ตรวจพบรวม 2,443 ครั้ง และในพื้นที่ ทภ.1 และ กปช.จต. ตรวจพบจำนวน 462 ครั้ง

การเผยแพร่ข่าวบิดเบือนข้อเท็จจริงที่พบว่ากัมพูชามีความพยายามในการดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการให้ข้อมูลหรือข่าวสารที่บิดเบือน และไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ทั้งจากทางรัฐบาล กระทรวงกลาโหม และภาคประชาชนของกัมพูชา อาทิ การไม่ยอมรับในเรื่องการวางทุ่นระเบิด ทั้งที่มีหลักฐานการใช้ทุ่นระเบิดอย่างชัดเจน , การกล่าวอ้างว่าฝ่ายไทยได้ใช้อาวุธเคมี ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนของกัมพูชาในห้วงที่ผ่านมา , และความพยายามในการบิดเบือนเรื่องของพื้นที่อ้างสิทธิ์ว่าเป็นพื้นที่ของฝั่งตน เป็นต้น

การใช้กำลังภาคประชาชน อาทิ สตรี เด็ก และพระภิกษุสงฆ์ แสดงสัญลักษณ์ หรือออกกระทำการแทนรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กัมพูชาได้ปล่อยให้กลุ่มมวลชนออกมาแสดงออกในพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อเจ้าหน้าที่ทหารไทยและประชาชนชาวไทย หรือเป็นฝ่ายเรียกร้องแทนในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในพื้นที่ ทภ.1 และ ทภ.2

ดังเช่นภาพที่ปรากฏเมื่อคณะ IOT ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และทหารกัมพูชาเข้ามาแสดงพฤติกรรมที่ก้าวร้าว เมื่อ 18 ส.ค.68 ในบริเวณช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี และล่าสุดในพื้นที่ บ.หนองจาน และ บ.หนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว

จะเห็นได้ว่าการกระทำของฝ่ายกัมพูชาในข้างต้นนี้ ล้วนเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่ากัมพูชามีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งฝ่ายไทยได้รวบรวมและข้อมูลส่งให้คณะ IOT รวมถึงกระทรวงการต่างประเทศเข้าประท้วงในเวทีและการประชุมต่างๆ ในระดับนานาชาติเป็นที่เรียบร้อย

แม้ว่าไทยได้พบการกระทำของกัมพูชาในเรื่องดังกล่าว แต่ไทยยังแสดงความจริงใจและให้ความสำคัญในเรื่องของการจัดการประชุมเพื่อหารือถึงทางออกอย่างสันติวิธี ร่วมกับทางกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้จากการเข้าร่วมการประชุม GBC ไทย–กัมพูชา ครั้งที่ 2 ที่จัดขึ้น ณ เกาะกง ประเทศกัมพูชา เมื่อ 10 ก.ย.2568 ที่ผ่านมา เพื่อรักษาบรรยากาศที่ดี ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยมุ่งหวังถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ

และสถานการณ์ล่าสุด ที่พบว่าประชาชนชาวกัมพูชาได้ออกมาชุมนุมประท้วงขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย มีพฤติการณ์ที่ยั่วยุและใช้สิ่งเทียมอาวุธ เช่น ไม้ หรือหินขว้างปาทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหารไทย ในพื้นที่เขตอธิปไตยไทย บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ซึ่งบริเวณดังกล่าว ไม่ใช่ พื้นที่อ้างสิทธิ์ตาม MOU 43 แต่อย่างใด

การชุมนุมประท้วงดังกล่าวพบว่ามีทหารกัมพูชาร่วมในเหตุการณ์และไม่ได้มีท่าทีในการห้ามปรามประชาชน เป็นสิ่งบ่งชี้ให้เห็นถึงการใช้ประชาชนออกหน้าในการยั่วยุ รุกล้ำดินแดน และกระทำการที่ผิดกฎหมายไทยอย่างชัดเจน ซึ่งทางการไทยจำเป็นต้องใช้มาตรการควบคุมการจลาจล โดยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมกับฝ่ายปกครอง เข้าดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อรักษาความสงบและบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ ซึ่ง ณ วันนี้สถานการณ์ก็ยังไม่มีท่าทีคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาไม่มีท่าทีและความจริงจังในการดำเนินการต่อปัญหาดังกล่าว

จากที่ผมกล่าวมาทั้งหมด คงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงมาโดยตลอด และไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหา ทั้งยังพยายามสร้างปัญหาเพิ่มเติม ผ่านการนำมวลชนและองค์กรต่างๆ มาใช้ในการแสดงออก เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ให้เป็นผู้แสวงหาสันติภาพ และเหมือนเป็นผู้ถูกกระทำโดยฝ่ายไทย ทั้งที่ความจริงนั้นกลับย้อนแย้งโดยสิ้นเชิง ที่ชัดเจนว่ากัมพูชาคือผู้สร้างปัญหา ริเริ่มให้เกิดความขัดแย้ง และใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งนั้นเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง โดยไม่สนใจในความเดือดร้อนของประชาชน และความสัมพันธ์ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านและประชาคมอาเซียนที่มีมาอย่างยาวนาน

สุดท้ายนี้ ไม่ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร กองทัพบกจะยืนหยัดในความพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาตามกรอบนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงกลาโหม ปฏิบัติตามแนวทางดำเนินการต่อการละเมิดอธิปไตยของไทย ตามกฎการใช้กำลังสากล (ROE-Rules of Engagement) เมื่อการกระทำเข้าข่ายการกระทำที่เป็นปรปักษ์ (Hostile Act) หรือเจตนาที่เป็นปรปักษ์ (Hostile Intent) โดยเฉพาะหากเป็นการสอดแนมหรือเตรียมโจมตี ซึ่งสามารถใช้เป็นเหตุเริ่มการป้องกันตนเองได้ ทั้งในมาตรการเชิงรุกและเชิงรับ เพื่อปกป้องอธิปไตย รักษาผลประโยชน์ของชาติและประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถ

ทั้งนี้ พล.ต.วินธัย​ กล้าวยืนยันว่า​ นายอันวาร์​ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องจากนายฮุน​ มาเนตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และคณะผู้สังเกตการณ์​ชั่วคราว​ หรือ IOT ของฝ่ายกัมพูชา ต่อกรณีบ้านหนองหญ้าแก้ว ไม่ใช้พื้นที่ที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์ แต่เป็นเขตอธิปไตยของไทย แต่มีชาวกัมพูชารุกล้ำเข้ามา ในขณะที่ฝ่ายไทยได้วางแนวรั้วลวดหนาม ในพื้นที่อธิปไตยของไทยเอง​ จึงไม่ต้องใช้แผนที่ใดๆ และกองทัพบกจะประสานกับทางกองทัพไทย เพื่อที่จะนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง​ พร้อมทั้งยืนยันว่า​ การปฏิบัติต่อกลุ่มผู้ชุมนุมในวันนั้น​เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ​ ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ทหาร​ ตามที่นายฮุน​ มาเนต​ กล่าวอ้าง​

และการใช้กระสุนยางและแก๊สน้ำตา​ ไม่ใช่การสลายการชุมนุม เป็นเพียงการป้องกันไม่ให้รื้อแนวลวดหนาม​ ซึ่งถือเป็นทรัพย์สินทางราชการ เพราะฉะนั้นนายกรัฐมนตรีกัมพูชาน่าจะนำเสนอข้อมูลต่างๆ ในเวทีต่างประเทศผิดพลาด​ จึงจะมีการประสาน กระทรวงการต่างประเทศต่อไป​ พร้อมทั้งยืนยันว่าไทยไม่ได้มีการขยายขอบเขตเกินกว่าพื้นที่พิพาท เนื่องจากพื้นที่ จ.สระแก้ว​ อยู่ตรงกับพื้นที่บ็อนเตียย์เมียนเจ็ย พื้นที่นี้เป็นพื้นที่ที่มีปัญหาอยู่แล้ว​ ไม่ใช่พื้นที่ใหม่ และไม่ใช่พื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ และไม่ใช่พื้นที่เหนืออธิปไตยของกัมพูชา แต่ที่ผ่านมา ฝ่ายกัมพูชานอกจากจะละเมิดข้อตกลง MOU 2543 เข้ามาใช้ประโยชน์ในพื้นที่อ้างสิทธิ์ แต่ยังรุกล้ำ เข้ามายังพื้นที่อธิปไตยของไทย​ ซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นความเร่งด่วนแรกที่ต้องดำเนินการ และไม่ได้อยู่ในกลไกของ JBC​

พล.ต.วินธัย​​ กล่าวว่าเป็นการรายงานข้อมูลเท็จเพียงฝ่ายเดียวของนายกรัฐมนตรีกัมพูชารวมถึงคณะ IOT ฝ่ายกัมพูชา​ไปยังนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย​ ทำให้เกิดความเข้าใจผิด จึงขอเรียกร้องให้สื่อสารไปยังเวทีต่างประเทศด้วยความโปร่งใสสุจริต ตรงไปตรงมา​ นอกจากนี้ จะให้กระทรวงการต่างประเทศประสานไปยังนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ว่ายังมีข้อมูลของฝ่ายไทย เพื่อป้องกัน ไม่ให้มาเลเซียถูกมองว่าไม่มีความเป็นกลาง จึงอยากให้รอข้อมูลจากฝั่งไทย มุมมองของนายกรัฐมนตรีมาเลเซียอาจจะเปลี่ยนไป​

ทั้งนี้ พล.ต.วินธัย​ ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม กรณีที่นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ไม่รอข้อมูลจากคณะ IOT ฝ่ายไทย​ก่อนออกมาให้ความเห็น ว่าไม่ทราบ​ ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า เป็นเพราะนายกรัฐมนตรีกัมพูชาต่อสายตรงไปยังนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย จึงทำให้นายกรัฐมนตรีมาเลเซียแสดงความคิดเห็นเช่นนั้น ตนก็ตอบไม่ได้เช่นกัน เนื่องจากเกินกรอบหน้าที่

พล.ต.วินธัย ยังกล่าวยอมรับว่า​ ปัญหาพื้นที่ จ.สระแก้ว เป็นการเผชิญหน้าระหว่างพลเรือนกัมพูชา กับเจ้าหน้าที่รัฐของฝ่ายไทย ถือว่าเป็นปัญหาละเอียดอ่อน ซึ่งที่ผ่านมาพยายามใช้ความอดทนอดกลั้น และประชาชนก็ได้เห็นแล้วว่าเรามีพัฒนาการทำให้เรื่องดังกล่าวนั้นถูกต้อง ซึ่งตอนแรกกังวลเรื่องภาพลักษณ์ ในสายตาของต่างประเทศ แต่ก็ยังพบว่าในระดับต่างประเทศมีการสื่อสารข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ไม่ใช่เฉพาะระดับผู้นำของประเทศมาเลเซีย แต่ยังรวมถึงสำนักข่าวต่างประเทศ และหลังจากนี้จะพยายามใช้กลไกที่มีอยู่ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลที่ถูกต้อง

ทั้งนี้การใช้กำลังผลักดันชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่ ที่รุกล้ำอธิปไตยไม่ต้องรอให้รัฐบาลไฟเขียวสามารถดำเนินการได้ทันที เพียงแต่ต้องรอจังหวะเวลาที่เหมาะสม ซึ่งเป็นเป้าหมายหลัก อย่างไรชาวกัมพูชาก็ต้องออกไปจากพื้นที่นี้​ ยืนยันว่าไม่ได้มีการเตรียมยาแรงอะไรแต่เป็นการบังคับใช้กฎหมายตามปกติ​ แต่ต้องสื่อสารให้ได้ก่อนว่าพื้นที่นั้นสามารถดำเนินการได้อย่างชอบธรรม ซึ่งน่าจะมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าพื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ของกัมพูชา เนื่องจากนายกรัฐมนตรีกัมพูชานำไปเผยแพร่เช่นนั้น จึงต้องให้ข้อมูลที่หักล้างส่วนนั้นให้ได้

อ่านข่าว :

ผบ.ตร.ห่วงใยตำรวจเจ็บ 4 นาย เหตุมวลชนกัมพูชารื้อรั้วบ้านหนองหญ้าแก้ว

กต.ซัด "กัมพูชา" ใช้ประชาชนเป็นโล่มนุษย์ ยั่วยุบ้านหนองหญ้าแก้ว

"ดุลยภาค" แนะบังคับใช้ กม.เข้มงวด แก้ปัญหา "กัมพูชา" รุกล้ำอธิปไตยไทย