ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

มนุษย์ที่ไม่รู้จักคำว่า "เสียใจ" ถอดรหัสสมองของ "ไซโคพาธ"

สังคม
19:37
94
มนุษย์ที่ไม่รู้จักคำว่า "เสียใจ" ถอดรหัสสมองของ "ไซโคพาธ"
ลองนึกภาพคนที่ยิ้มจนทำให้ใจละลาย พูดจาไหลลื่นราวนักเจรจามืออาชีพ แต่ลึก ๆ แล้ว เขาไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจและการสำนึกผิด นั่นคือ "ไซโคพาธ" เขาอาจไม่ใช่ฆาตกรเลือดเย็นอย่างภาพจำจากภาพยนตร์ แต่เราอาจพบเจอได้ในสังคมที่ 100 คนจะเจอสักคนหนึ่ง

ในสังคมปัจจุบัน เรามักเข้าใจคำว่า "ไซโคพาธ" ผ่านภาพยนตร์ระทึกขวัญ เจอตัวร้ายเป็นฆาตกรเลือดเย็น ผู้ไร้หัวใจ ไร้มโนธรรม แต่ในแง่จิตวิทยาแท้จริงแล้ว "ไซโคพาธ" ไม่ได้หมายถึงฆาตกรหรืออาชญากรเสมอไป หากแต่เป็นบุคคลที่มีโครงสร้างทางอารมณ์และจิตใจที่ซับซ้อนมาก เป็นคนที่รู้จักเล่น "เกมมนุษย์" อย่างแยบยลและรู้จักบริหาร "เสน่ห์" เป็นเครื่องมือแทนอาวุธ

คำว่า Psychopathy หรือ ไซโคพาธ ถูกนิยามในวงการจิตวิทยาและนิติจิตเวชว่าเป็นลักษณะบุคลิกภาพที่รวมความเย็นชา การไม่รู้สึกผิด การขาดความเห็นอกเห็นใจ และเสน่ห์ที่ผิวเผินเข้าด้วยกัน โรเบิร์ต แฮร์ นักจิตวิทยาชาวแคนาดา ผู้สร้างแบบประเมิน Psychopathy Checklist-Revised (PCL-R) กล่าวว่า

คนกลุ่มนี้ไม่ใช่แค่ ไม่รู้สึกผิด แต่พวกเขา ไม่รู้สึกอะไรเลย ถ้าเทียบกับสถานการณ์เดียวกันที่คนทั่ว ๆ ไปเจอ และมักจะมีความรู้สึกลังเลหรือเจ็บปวด

ไซโคพาธไม่ใช่แค่ตัวร้ายในคุก พวกเขาอยู่ในสังคมทั่วไป ประมาณร้อยละ 1 ของประชากรโลก หรือ ในทุก ๆ 100 คน จะมีคนเป็นไซโคพาธอยู่ 1 คน วารสาร Psychological Bulletin ในปี 2019 วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบประเมิน PCL-R ที่ได้จากผู้ทำแบบประเมินทั่วโลก พบว่า

  • ผู้ชายมีความเสี่ยงสูงกว่าเพศอื่นร้อยละ 0.3-0.7
  • ผู้ต้องขังในสหรัฐฯ มีบุคลิคไซโคพาธมากถึงร้อยละ 16-25 
  • ที่น่าสนใจ คือ ในกลุ่ม CEO หรือผู้นำองค์กรในสหรัฐฯ เป็นไซโคพาธกันมากถึงร้อยละ 3-21 
เมื่อศึกษาผลการสแกนสมอง นักวิทยาศาสตร์พบว่าพื้นที่สมองส่วน Amygdala หรือ อะมิกดาลา ซึ่งเกี่ยวข้องกับความกลัวและการเห็นอกเห็นใจ ทำงานน้อยกว่าคนทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ พวกเขามี สมองที่ไม่เตือน เมื่อทำร้ายใครบางคน

เข้าใจ "ไซโคพาธ" ผ่านจอภาพยนตร์

ภาพยนตร์ฮอลลีวูดหลายเรื่อง ถ่ายทอดลักษณะของไซโคพาธอย่างแยบยล ไม่ใช่แค่ในแบบฆาตกรเลือดเย็น แต่ในรูปแบบของมนุษย์ผู้เยือกเย็นทางจิตใจ

  • No Country for Old Men (2007) ตัวละคร แอนตัน ชิเกอร์ ถูกนักวิเคราะห์พฤติกรรมของ Psychology Today อธิบายว่าเป็น "ภาพแทนของตรรกะที่ปราศจากศีลธรรม" เขาฆ่าไม่ใช่เพราะโกรธ แต่เพราะเชื่อในกฎเหล็กของตัวเอง ความเงียบและสายตานิ่งของเขากลายเป็นภาพจำของความไร้มโนธรรมที่สมบูรณ์

  • Gone Girl (2014) พาคนดูไปรู้จัก เอมี ดันน์ หญิงสาวที่บงการสังคมด้วยสติปัญญาและการแสดงอย่างแนบเนียน BBC Culture ระบุว่า เอมี คือภาพแทนของ "Successful psychopath" หรือ คนที่ใช้ความเย็นชาและเสน่ห์ควบคุมคนอื่นได้อย่างชาญฉลาดโดยไม่ต้องใช้ความรุนแรงเลย

  • Nightcrawler (2014) ลู บลูม คือชายหนุ่มผู้เข้าสู่โลกของข่าวอาชญากรรม เขาไม่ฆ่าใครด้วยมือเปล่า แต่ใช้ความกระหายชื่อเสียงและการไร้ขอบเขตทางศีลธรรมเป็นอาวุธ Psychology Today วิเคราะห์ว่า ลู เป็นตัวอย่างของ "Subclinical psychopathy" หรือไซโคพาธระดับย่อยที่ประสบความสำเร็จในโลกธุรกิจ เพราะเขาเห็นทุกคนเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่คนจริง ๆ

  • Joker (2019) ตัวละครอาร์เธอร์ เฟล็ก อาจไม่ใช่ไซโคพาธโดยตรงแต่มีลักษณะบางส่วนที่ทับซ้อน โดยเฉพาะการไม่รู้สึกผิดและการใช้ความรุนแรงเพื่อเรียกร้องการยอมรับ BBC Culture อธิบายว่า Joker คือ "กระจกสะท้อนความเจ็บปวดของสังคมที่ปล่อยให้ความเห็นอกเห็นใจหายไปจากระบบ"

แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นการมองผ่านเลนส์ทางจิตวิทยา ไซโคพาธไม่ได้ถือกำเนิดจากความชั่วร้ายอย่างเดียว แต่เกิดจากการผสมระหว่างพันธุกรรม สมอง และประสบการณ์ชีวิต

"ไซโคพาธ" รู้ว่าผิดแต่ไม่รู้สึกว่าผิด

แล้วคนที่มีภาวะไซโคพาธ พวกเขาเกิดมาแบบนี้ หรือถูกสร้าง ?

คำตอบคือ "ทั้งคู่" แต่ปัจจัยด้านพันธุกรรมกินสัดส่วนมากถึงร้อยละ 52 สมองส่วนที่ทำงานผิดปกติในผู้ที่เป็นไซโคพาธคือ สมองส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) ส่วนที่เกี่ยวกับการคิดเชิงศีลธรรม รู้ผิดชอบชั่วดี เข้าใจอารมณ์ ความรู้สึกผู้อื่น ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ และ อะมิกดาลา (Amygdala) ที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกกลัว ตามงานวิจัยของ PubMed ในปี 2010 ในขณะที่สิ่งแวดล้อมรอบข้าง สมาชิกครอบครัว คนรอบข้างมีส่วนส่งเสริมพฤติกรรมนี้ร้อยละ 48 เช่น ถูกทอดทิ้ง โดนทำร้าย หรือ การซึมซับความรุนแรงในครอบครัว 

เด็กที่เติบโตในครอบครัวที่ขาดความอบอุ่นหรือเผชิญการทารุณทางอารมณ์ซ้ำ ๆ จะมีแนวโน้มพัฒนาเป็น Cold empathy หรือ การเข้าใจอารมณ์คนอื่นโดยไม่รู้สึกร่วม ยกตัวอย่างเช่น ในสถานการณ์ทั่วไป เด็กที่ถูกกอด ถูกเอาใจใส่ สมองจะสร้าง "แผนที่อารมณ์" ที่เชื่อมโยงระหว่างการเห็นความรู้สึกของผู้อื่นกับการรู้สึกสะเทือนใจตามไปด้วย

แต่เมื่อเด็กเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ตรงกันข้าม สมองของพวกเขาจะเรียนรู้การป้องกันตัวทางอารมณ์ โดยปิดการเชื่อมโยงทางอารมณ์บางส่วนไว้ เพื่อไม่ให้รู้สึกเจ็บปวดจากการถูกปฏิเสธหรือความกลัวซ้ำ ๆ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่การสูญเสียความเข้าใจอารมณ์ของคนอื่นทั้งหมด แต่กลายเป็นการพัฒนา "Cold Empathy"

พวกเขาจะอ่านอารมณ์คนอื่นออกได้อย่างแม่นยำ แต่จะไม่รู้สึกร่วม ไม่รู้สึกสะเทือนใจ

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่มีลักษณะไซโคพาธจะกลายเป็นอาชญากร บางคนกลับประสบความสำเร็จในอาชีพที่ต้องใช้การตัดสินใจแน่วแน่และเด็ดขาด เช่น นักลงทุน นักบริหาร หรือนักการเมือง งานของ Frontiers in Psychology ปี 2021 เสนอแนวคิด "Functional psychopathy" หมายถึงบุคคลที่มีลักษณะจิตใจเด็ดขาดและไร้อารมณ์ร่วม แต่ใช้คุณสมบัตินี้ในการบริหารสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ละเมิดศีลธรรม

"ไซโคพาธ" รักษาได้ไหม ?

ในอดีต นักจิตวิทยาอย่าง เฮอร์วีย์ เคล็คคลีย์ เคยมองว่าการรักษาไซโคพาธแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะพวกเขามักไม่ยอมรับว่าตัวเองมีปัญหา ทำให้ยากที่จะเข้าถึงการช่วยเหลือ แต่งานวิจัยในปัจจุบัน ชี้ให้เห็นว่า การลดพฤติกรรมรุนแรงและเสี่ยง เช่น อาชญากรรม ด้วยการบำบัดแบบ CBT (Cognitive Behavioral Therapy) ช่วยจัดการความหุนหันพลันแล่นและปรับปรุงความสัมพันธ์ และผสมผสานกับการใช้ยาที่ช่วยปรับระบบประสาทให้สมดุลยิ่งขึ้น

ยิ่งเปลี่ยนทัศนคติเชิงลบ โดยเน้นสร้างความเมตตาต่อตัวเองและผู้อื่นได้มากเท่าไหร่ โอกาสกลับมาก่อปัญหาก็ยิ่งน้อยลง 

ส่วนการอยู่ร่วมกับไซโคพาธในชีวิตประจำวัน ต้องเริ่มจากตั้งขอบเขตชัดเจนและยึดมั่นในนั้นเสมอ อย่าคาดหวังความเห็นอกเห็นใจหรือการขอโทษที่จริงใจจากพวกเขา เพราะพวกเขาขาดความเห็นอกเห็นใจแต่กำเนิด แต่ให้ใช้ตรรกะและข้อเท็จจริงในการสื่อสารแทนอารมณ์ หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าหรือโต้เถียงโดยตรง เพราะพวกเขาชอบบงการสถานการณ์ให้ตัวเองได้เปรียบ และหากรู้สึกถูกเอาเปรียบหรืออันตราย ควรลดการติดต่อหรือขอคำปรึกษาจากนักจิตวิทยาโดยด่วนเพื่อรักษาสุขภาพจิตของคุณให้ปลอดภัย

"ไซโคพาธ" ขั้นกว่าของการต่อต้านสังคม

อีกข้อที่ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนคือ Antisocial Personality Disorder หรือ บุคลิกภาพต่อต้านสังคม และไซโคพาธ ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

ดร.เทรซี มาร์ก เปรียบเทียบความเหมือนที่แตกต่างไว้ว่า ASPD ไม่ใช่ไซโคพาธทั้งหมด แต่ไซโคพาธมักเป็นส่วนย่อยที่รุนแรงกว่าของ ASPD คล้ายกับ ASPD เป็น "ร่มใหญ่" ที่ครอบคลุมพฤติกรรมก้าวร้าวต่อสังคม ในขณะที่ไซโคพาธคือเวอร์ชันที่เน้นการบงการและเย็นชาแบบลึกซึ้งกว่า ซึ่งช่วยให้เข้าใจว่าทำไมบางคนดู "ปกติ" แต่จริง ๆ แล้วมีด้านมืดที่ซ่อนไว้

ไซโคพาธส่วนใหญ่จะมีอาการ ASPD แต่ในคน ASPD เอง มีแค่ประมาณ 1 ใน 3 ที่เข้าข่ายไซโคพาธ ทั้งคู่คล้ายกันตรงที่ขาดความเห็นอกเห็นใจและละเมิดกฎของสังคม แต่ไซโคพาธจะอัปเกรดขึ้นไปอีกขั้น

สิ่งที่ทำให้ไซโคพาธน่าศึกษา ไม่ใช่เพราะพวกเขาน่ากลัว แต่เพราะความสามารถในการใช้ตรรกะโดยไม่แปดเปื้อนอารมณ์ที่เป็นจุดแข็งในบางบริบท และก็เป็นหายนะในอีกบริบท การเข้าใจไซโคพาธจึงไม่ใช่เพื่อชี้นิ้วว่าใครผิด แต่เพื่อเรียนรู้ว่า "ความเห็นอกเห็นใจ" เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องรักษาไว้ในยุคที่ความสำเร็จมักต้องแลกกับความรู้สึกของผู้อื่น

หมายเหตุ : นี่เป็นบทความรวบรวมข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับไซโคพาธจากแหล่งวิจัย เพื่อให้เข้าใจเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ใช่คำวินิจฉัยหรือคำแนะนำทางการแพทย์จากผู้เชี่ยวชาญ หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการที่กังวล ควรปรึกษาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาโดยตรงเพื่อรับการประเมินที่ถูกต้องและเหมาะสม

ที่มาข้อมูล : Psychopathy: Developmental Perspectives and their Implications for TreatmentPsychopathyis.org

อ่านข่าวอื่น :

ไฟไหม้โกดังเก็บของย่านพระราม 9 ไร้บาดเจ็บ-ติดค้าง

“เขมร” เมินเส้นตาย “อพยพ” เกมวัดใจกองทัพแค่ “งดประชุม RBC”