"โครงการสุขกาย สบายกระเป๋า" ถูกขานรับอย่างท่วมท้น หลัง "ศุภจี สุธรรมพันธุ์" รมว.พาณิชย์ ประเดิมนโยบาย แก้ปัญหาเศรษฐกิจ ดูแลค่าครองชีพ เพื่อช่วยเหลือประชาชนทั่วประเทศ โดยร่วมกับสมาคมโรงพยาบาลเอกชน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)เสนอทางเลือก "จ่ายค่ายา" หรือ "เลือกซื้อยา" นอกโรงพยาบาล

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์
การลดค่ายา ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในปี 2562 สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งมี สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็นรมช.พาณิชย์ มอบหมายให้กรมการค้าภายใน ดำเนินการตั้งแต่วันที่ 16 ส.ค.2562 โดยนำข้อมูลราคาซื้อขายยาที่ได้รับจากโรงพยาบาลเอกชน 312 ราย จัดทำเป็น QR Code ให้ประชาชนเข้าไปตรวจสอบและเปรียบเทียบราคายา ผ่านเว็บไซต์ www. dit.go.th และยังส่งให้โรงพยาบาลเอกชน นำไปติดไว้ในพื้นที่ประชาชนเห็นและตรวจสอบได้ด้วย
ขณะเดียวกันยังมีประกาศ กกร. ฉบับที่ 52 พ.ศ. 2562 เรื่อง การแจ้งราคา การกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขเกี่ยวกับการจำหน่ายยารักษาโรค เวชภัณฑ์ ค่าบริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ และบริการอื่นของสถานพยาบาล ซึ่งมาตรการดังกล่าวประกอบด้วย 3 หลักการสำคัญ คือ
1.ราคาโปร่งใส-เป็นธรรม (Fair Price) ให้โรงพยาบาลเอกชน ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้จำหน่ายส่ง ต้องแจ้งราคาซื้อ-ราคาจำหน่ายยา เวชภัณฑ์ ค่าบริการฯ ตามรายการที่อยู่ในบัญชีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ (UCEP) และในอนาคตจะขยายผลให้ครอบคลุมรายการยาตามรหัสบัญชีของมูลยาและรหัสยามาตรฐานไทย (TMT) กรณีที่โรงพยาบาลจะมีการเปลี่ยนแปลงราคายาต้องแจ้งให้กรมการค้าภายในทราบก่อนปรับราคา

ทั้งนี้ หากไม่แจ้งราคาซื้อ-ราคาจำหน่ายตามที่ประกาศกำหนดจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี /ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกไม่เกินวันละ 2,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน หรือจนกว่าจะแจ้ง
2. ผู้บริโภคต้องมีทางเลือก (Consumers’ Choices) ดังนี้ ให้โรงพยาบาลเอกชนแสดง QR Code (ข้อมูลเปรียบเทียบราคาจำหน่ายยาที่กรมการค้าภายในจัดทำไว้อย่างเปิดเผยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้โดยสะดวก โรงพยาบาลเอกชนประเมินค่ารักษาเบื้องต้นให้ผู้ป่วยทราบ และต้องแจ้งราคายา เวชภัณฑ์ และค่าบริการทางการแพทย์ให้ผู้ป่วยทราบ ก่อนจำหน่ายหรือให้บริการ เมื่อผู้ป่วยร้องขอ และในการจำหน่ายยาสำหรับผู้ป่วยนอก ให้โรงพยาบาลต้องออกใบสั่งยาตามมาตรฐานการประกอบวิชาชีพเวชกรรม และใบแจ้งราคายา ให้ผู้ป่วยทราบล่วงหน้า
และใบสั่งยาต้องประกอบด้วยชื่อสามัญทางยา ชื่อทางการค้า รูปแบบยา ขนาดหรือปริมาณ จำนวน วิธีใช้ ระยะเวลาในการใช้ ส่วนใบแจ้งราคายาต้องประกอบด้วยชื่อยาตามใบสั่งยาและราคาต่อหน่วย ทั้งนี้ หากไม่ปฏิบัติตามจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี /ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3. การรักษาที่สมเหตุสมผล (Reasonable Treatment) ให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการในส่วนกลางและส่วนจังหวัดเป็นผู้พิจารณาวินิจฉัย กรณีมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการให้บริการรักษาพยาบาลที่เกินความจำเป็นและ/หรือการคิดค่าบริการรักษาพยาบาลสูงเกินสมควร โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 15 แห่ง พ.ร.บ. ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ซึ่งหากเห็นว่ามีการคิดราคาสูงเกินสมควรจริงจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี /ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
การนำโครงการเดิมกลับมา “ปัดฝุ่น” ใหม่อีกครั้ง นอกจากเป็นประโยชน์ต่อประชาชนแล้ว ยังกระตุกให้โรงพยาบาลเอกชน ต้องเปิดเผยราคายา ค่ารักษาพยาบาล เพื่อผู้ใช้บริการมีสิทธิรับรู้ก่อนควักเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาล
โรงพยาบาล 9 เครือข่าย 354 แห่ง ตบเท้าร่วมโครงการ
นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นทางเลือกให้ผู้ใช้บริการเลือกซื้อยานอกโรงพยาบาล ได้หากเห็นว่าราคายาของโรงพยาบาลมีราคาสูง โดยปัจจุบันมีโรงพยาบาลเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 9 เครือ จำนวน 354 แห่ง ครอบคลุมทั่วประเทศ เช่น ร.พ.BDMS ,ร.พ.ธนบุรี ,ร.พ.บางกอกเชน(เกษมราษฎร์),ร.พ.บางปะกอก-ปิยะเวท ,ร.พ.รามคำแหง-วิภาราม ,ร.พ.พริ้นซิเพิล,ร.พ.นวมินทร์ ,ร.พ.สินแพทย์ และร.พ.จุฬารัตน์

นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน
นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน
คนไข้ สามารถไปซื้อยาที่ร้านยาได้ และครอบคลุมยาเกือบ 90% ยารักษาโรคป่วยทั่วไป หรือ ป่วยเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดัน ที่ต้องใช้ยาแบบเดิม สามารถขอใบสั่งยาแล้วไปซื้อยาที่ร้านขายยานอกโรงพยาบาลได้ รวมทั้งเวชภัณฑ์ ต่าง ๆ ส่วนโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง หัวใจ ควรให้แพทย์ที่รักษาเป็นคนสั่งจ่ายยา เพราะยาบางชนิดไม่มีในร้านขายยา
แต่ประชาชนจะเข้ารับการรักษาต้องแจ้งความประสงค์กับแพทย์ผู้ทำการรักษาว่าต้องการซื้อยานอกโรงพยาบาล เพื่อให้แพทย์ออกใบสั่งยา ก่อนจะมีการชำระเงินหน้าเคาน์เตอร์
ขณะเดียวกันกรมฯจะร่วมกับอย.ในการเปิดให้ร้านขายยาทั่วประเทศมีอยู่ประมาณ 20,099 ร้าน แบ่งเป็นร้านขายยาที่มีเภสัชกรประจำอยู่ 19,206 หรือว่า 93% หารือคุณสมบัติ เพื่อเปิดให้ร้านขายยาลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการดังกล่าวต่อไป
ให้สิทธิเฉพาะ "คนไทย-ชาวต่างชาติ" มีที่พักอาศัยชัดเจน
วันที่ 28 ต.ค. 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานร่วม kick off จะมาเปิดความร่วมมือระหว่างรัฐกับเอกชน จากการคำนวณของกรมการค้าภายในพบว่า โครงการนี้จะสามารถเบาภาระค่าใช้ประชาชนได้ 32,400 ล้านบาท และลดความแออัดของภาครัฐ ซึ่งกลุ่มกลุ่มเป้าหมายที่ใช้บริการคือ “คนไทย” และ “ต่างชาติ”ที่อาศัยและทำงานในไทย” แต่ไม่รวมนักเที่ยวต่างชาติและชาวต่างชาติที่เข้ามารักษา
หลังจากเฟส1 เริ่มเดินหน้า กระทรวงพาณิชย์ทำเฟส 2 ทันที โดยเร่งศึกษาต้นทุนโครงสร้างราคายาให้มีความเหมาะสม ควบคุมต้นทุนการนำเข้ายาเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด

ระบุว่า โครงการนี้แม้จะมีประโชน์ต่อผู้ป่วย แต่มีข้อกังวล กรณีผู้ป่วยที่ต้องการซื้อยาจากนอกโรงพยาบาล ควรต้องมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปกำกับดูแล เพื่อป้องกันการได้ยาที่ไม่ได้คุณภาพหรือยาปลอม
โครงการนี้ส่งผลต่อรายได้ของโรงพยาบาล แต่ยาแพง ก็มีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ค่าที่ดิน เครื่องมือแพทย์ ทั้งค่าบริหารจัดการ ค่าการตลาด ที่นำมาคำนวนเป็นต้นทุน ซึ่งในแต่ละโรงพยาบาลจะแตกต่างกัน กำไรเฉลี่ยอยู่ที่ 10%
ส่วนคนไข้ที่เป็นโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง หัวใจ ควรใช้ยาตามใบสั่งยาของแพทย์ผู้ทำการรักษา การออกไปซื้อยาข้างนอกอาจจะเสี่ยงต่อการรักษาและยาบางชนิดอาจจะไม่มีจำหน่ายที่ร้านขายยา แต่อาจจะเป็นยาที่ใกล้เคียงกับซึ่งจะส่งผลเสียต่อคนไข้เอง
นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน กล่าวอีกว่า สำหรับคนไข้โรคเรื้อรัง เช่น ความดันสูง เบาหวาน ไข้หวัด เจ็บท้อง ที่สามารถซื้อยาที่ร้านขายยาได้ ก็ขอใบสั่งยา ไปซื้อยาที่ร้านขายยาได้ ผ่านคำแนะนำของเภสัชกร เพื่อความปลอดภัยของคนไข้เอง

นายแพทย์ไพบูลย์ เอกแสงศรี นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน
นายแพทย์ไพบูลย์ เอกแสงศรี นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน
ผู้ใช้บริการรพ.เอกชน ยอมรับ "ยาแพง" แลกความสะดวก
“ไทยพีบีเอสออนไลน์” สอบถามผู้ใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนรายหนึ่ง กล่าวว่า เหตุผลที่ใช้บริการโรงพยาบาลเอกชน มีหลายปัจจัย เช่น ความสะดวกรวดเร็วของการให้บริการ ไม่แออัด แม้ต้องแลกมากับค่าบริการ ค่าแพทย์และค่ายาที่บางตัวอาจจะแพงเกินกว่าร้านขายยานอกโรง พยาบาล เช่น ยาสำหรับรักษาโรคลำไส้ หากซื้อร้านขายยา 1 กล่อง ราคาประมาณ 350- 650 บาท ในขณะที่โรงพยาบาลคิดราคา 1,200 บาท ซึ่งถือว่าแพงมาก
ดังนั้นการที่รัฐบาลมีทางเลือกให้กับประชาชนเลือกซื้อยาจากร้านขายยา นับว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะอย่างน้อยก็มีสิทธิที่จะเลือกว่าจะรับยาที่โรงพยาบาลหรือไม่รับ แต่สิ่งที่กังวล คือ เมื่อรัฐบาลมีนโยบายดังกล่าวออกมาจะเกิดการรับปรับขึ้นของราคายาที่ร้านขายยาหรือไม่ อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบอย่างเข้มงวด
ส่วนตัวมองว่า เป็นนโยบายที่ดี แต่อาจจะไม่ครอบคลุมคนไทยทั้งหมด เพราะคนที่มีกำลังในการใช้บริการโรงพยาบาลเอกชน คือ คนชั้นกลางขึ้นไป ส่วนคนชั้นแรงงานหรือรายได้น้อย ยังคงเลือกใช้บริการในโรงพยาบาลของรัฐอยู่ดี

สถิติ 10 เดือน ร้องเรียนสูง "ไม่ติดป้ายราคา-ค่ารักษาแพง"
ทั้งนี้สถิติการรับเรื่องร้องเรียนค่าบริการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล ปี 2568 (1 ม.ค. – 7 ต.ค. 68)ของสายด่วน 1569 กรมการค้าภายในพบว่า แบ่งออกเป็น 4 เรื่อง คือ ค่ารักษาพยาบาลแพง เรื่อง และ ไม่ปิดป้ายแสดงราคาจำหน่ายปลีก และร้องเรียนเรื่องยาแผนโบราณ ยาแผนปัจจุบัน เวชภัณฑ์ในสถานพยาบาล ซึ่งร้องเรียนเป็นเรื่องจำหน่ายแพง
ส่วนสถิติการรับเรื่องร้องเรียนผ่านสายด่วน 1569 ปี 2568 (1 ม.ค. – 7 ต.ค. 68) 1,423 เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นเรื่อง ไม่ปิดป้ายแสดงราคาจำหน่ายปลีก ไม่ได้รับความเป็นธรรม (ปริมาณไม่เหมาะสมกับราคา ปิดป้ายแสดงราคาไม่ชัดเจน ) เรื่องใช้เครื่องชั่ง ตวง วัดไม่ได้มาตรฐาน แสดงราคาจำหน่ายปลีกไม่ตรงกับราคาที่จำหน่าย
เปิด 7 โรคร้ายแรงคร่าชีวิต "คนไทย" สูงสุด
มีรายงานจาก สถาบันมะเร็งแห่งชาติ , กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ปัจจุบันโรคที่คนไทยเป็นและเสียชีวิตมากที่สุด 7 โรค คือ
โรคมะเร็งและเนื้องอก (Cancer) โดยแต่ละปี คนไทยป่วยเป็นมะเร็งรายใหม่ประมาณ 140,000 คน เสียชีวิตประมาณ 83,000 คน เฉลี่ยคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งถึงวันละ 227 คน
โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Disease)ปัจจุบันมีผู้ป่วยสะสมด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่า 2.5 แสนราย และมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมากถึง 4 หมื่นราย หรือเฉลี่ยชั่วโมงละ 5 คน (อ้างอิงจากระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข (Health Data Center) ปี 2566)

โรคความดันโลหิตสูง โรคที่คนไทยเป็นเยอะสุด ข้อมูลกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขปี 2567 เผยว่า คนไทยป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากถึง 14 ล้านคน หรือ 1 ใน 4 ของประชากรทั้งหมด
โรคหลอดเลือดในสมอง เป็นสาเหตุการเสียชีวิตหรือพิการสูงเป็นอันดับ 3 ในเพศชาย และสูงเป็นอันดับ 2 ในเพศหญิง และยังเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ข้อมูลจากระบบรายงานฐานข้อมูลสุขภาพ (HDC) กระทรวงสาธารณสุข ปี 2567 พบ ผู้ป่วยสะสม โรคหลอดเลือดสมองจำนวน 358,062 ราย และเสียชีวิตจำนวน 39,086 ราย
โรคติดเชื้อทางเดินอาหารข้อมูลกรมควบคุมโรค พบว่า หนึ่งในโรคติดต่อที่คนไทยป่วยมากที่สุดช่วงต้นปี 2568 คือโรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำ เช่น อาหารเป็นพิษ อุจจาระร่วงเฉียบพลันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
โรคเกี่ยวกับตับ พบได้ในทุกอายุ ปี 2567 โดยโรคไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักอันดับ 1 ในไทย ที่นำไปสู่โรคร้ายแรงอย่าง โรคตับแข็ง มะเร็งตับ และตับวายเฉียบพลัน เป็นต้น โรคไตวาย
และสุดท้าย โรคไต เกิดได้กับทุกเพศทุกวัย ปัจจุบันพบผู้ป่วยโรคไตเพิ่มจำนวนสูงขึ้นทุกปี และมีอัตราการเสียชีวิตจากไตวายมากกว่าปีละ 10,000 คน และผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ (HDC) ในปี 2566 พบผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง 1,062,756 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 มากถึง 85,064 คน

แชร์ประสบการณ์ "นอน 1 คืน" เจอเรียกค่ารักษา 3 หมื่น
ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Nissa Pranpreeya โพสต์ในกลุ่มพวกเราคือผู้บริโภค แชร์ประสบการณ์ของญาติผู้ใหญ่ที่เข้าแอดมิต โรงพยาบาลเอกชน จากอาการอาหารเป็นพิษ เพียง 1 คืน แต่เจอเรียกเก็บเงินกว่า 3 หมื่นบาท เมื่อตรวจสอบพบว่ามีรายการค่าใช้จ่ายยิบย่อย ตั้งแต่ค่าเหยือกน้ำ ไปจนถึงขวดแอลกอฮอล์ขวดละ 445 บาท
โดยเจ้าของโพสต์ ระบุว่า อยากเชิญมาแชร์ประสบการณ์ค่าใช้จ่าย ที่คุณคิดว่าอิหยังวะ ตอนที่แอดมิตโรงพยาบาลเอกชน ก่อนอื่นเราผู้ซึ่งอยู่ กทม. ในเมืองที่บ้านมีประกันทุกคน เลยไม่ค่อยได้เช็กค่าใช้จ่ายมากมาย ส่วนต่างอย่างมากไม่เกิน 10,000 สำหรับโรคทั่วไปนอน 2-3 คืน
แต่วันนี้มีโอกาสได้พาผู้สูงอายุที่บ้านไปแอดมิต 1 คืน ไม่มีประกัน เพราะอายุเยอะและปกติอยู่ต่างจังหวัด ใกล้แค่โรงพยาบาลรัฐ แอดมิตเพราะอาหารเป็นพิษ ค่าใช้จ่ายประมาณ 30,000 บาท
เราก็เช็กรายการ แม้บางรายการจะยิบย่อย เช่น มีค่าปลอกอุปกรณ์วัดไข้ 7 อัน อันละ 13 บาท ค่าแก้วพลาสติกใส่ยาเม็ดแบบใช้แล้วทิ้ง อันละ 3 บาท ค่าแมสก์ 3 บาท ค่าข้อมือป้ายชื่อผู้ป่วย 11 บาท ค่าถุงมือ และอื่น ๆ ซึ่งเข้าใจได้ ไม่เป็นไร เพราะจำเป็นต่อการรักษา แต่มาสะดุดตรง ค่าเหยือกน้ำ ทั้ง ๆ ที่มีน้ำขวดให้ และขวดบอกปริมาณน้ำ คนเฝ้าสามารถแจ้งปริมาณการดื่มน้ำได้ แต่คิดค่าเหยือกแล้วให้เอากลับด้วย เราก็ช่างมัน
อีกอันคือ ค่าแอลกอฮอล์ 450 ml ขวดละ 445 เราก็หืม ทำไมตอนเอามาวาง ได้มีการแจ้งคนไข้ไหมว่ามีค่าใช้จ่าย ทั้ง ๆ ที่มันไม่จำเป็นเพราะคิดค่าถุงมือทางการแพทย์แยกมาแล้วอีกจำนวนหนึ่ง เคยพาลูกไปโรงพยาบาลย่านรามอินทรา ก็บอกพยาบาลได้ว่าไม่เอา ไม่ต้องแกะ แอดมิตตึกเด็ก โรงพยาบาลนี้ พยาบาลจะถามก่อนเอาไหม เราก็บอกไม่เอา แต่งวดนี้ตึกผู้ใหญ่ พยาบาลมาวางแกะ กดไป 1 ปั๊ม โดยไม่ถามว่าเราจะเอาไหม (เรามาเห็นทีหลังเพราะตอนนั้นลงมาซื้อของ) ผู้สูงอายุก็ไม่ได้ใช้ เราก็เลยแจ้งไปว่าเอามาวางกดใช้เอง ทั้ง ๆ ที่นอกห้องมีติดอยู่ตามทางหลายจุด และตอนตึกเด็ก ก่อนวางพยาบาลก็ถามก่อน ทำไมรอบนี้วางแบบไม่ถามแถมเปิดใช้เองอีก
พยาบาลบอกว่า ถ้าไม่รับ ฝ่ายการเงินจะเอาออกให้ โอเค ลดไป 445 บาท พอการเงินมาค่าใช้จ่าย 30,9xx จะลดค่าแอลกอฮอล์ให้ แต่จะติดในระบบว่าคนไข้มีการค้างค่าใช้จ่ายจำนวนนี้ ถ้ามาแอดมิตครั้งหน้าก็จะไปรวมในครั้งต่อไป เราก็ไม่ยอม บอกว่างั้นขอเอกสารระบุมาว่าจะทำแบบนั้น เราจะไปร้อง สคบ.จนเขาบอกว่าลบจากระบบแล้ว
อยากมาสอบถามความเห็นว่า มีใครเคยต้องจ่ายอะไรที่แบบ หืม มันจำเป็นด้วยเหรอ เวลาแอดมิตเอกชนบ้าง และท่าน ๆ แก้ไขยังไงกันบ้าง เราเข้าใจว่าทุกอย่างมีค่าใช้จ่าย เช่น ผ้าเช็ดตัวลดไข้ผืนเล็กก็ยอมจ่ายหากจำเป็น แต่กรณีแบบนี้ มันจำเป็นต้องเอามาวางแล้วคิดเงิน โดยไม่ถามความสมัครใจและไม่เกี่ยวกับการรักษาสักนิด ค่าห้องมี ค่าห้องคิดแยก ค่าบริการพยาบาล ค่าบริการทางการแพทย์ อยู่แล้วด้วย ในรูปขวดแอลกอฮอล์ คือปริมาณที่ถ่ายตอนจ่ายเงินตอนจะออกจากโรงพยาบาล
ภายหลังจากโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ไป ปรากฏว่ามีผู้บริโภคหลายรายแชร์ประสบการณ์ค่าใช้จ่ายชวนคาใจจากโรงพยาบาลเอกชน เช่น เคยเจอค่าแอลกอฮอล์เหมือนกัน ขวดละเกือบ 500 บาท ค่าสำลีถุงละ 400 บาท ใช้เช็ดหน้า ไม่เกี่ยวกับอาการป่วย
นอกจากนี้บางส่วนยังมองว่าค่ารักษาเอกชนในปัจจุบัน คิดทุกบาททุกสตางค์ ตั้งแต่ค่าแมสก์ ค่าป้ายชื่อผู้ป่วย ไปจนถึงแก้วพลาสติกใส่ยา ค่าคนเข็นวีลแชร์ บางรายเผยว่า หลังผ่าตัดเสร็จจะขอถ่ายรูปแผลตัวเองจากจอ แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่ามีค่าบริการภาพละ 250 บาท ก่อนหมอใจดีอนุญาตให้ถ่ายฟรีได้ เป็นต้น

ชี้ไม่ช่วยลดความแออัด ในโรงพยาบาลรัฐ
แม้ว่าโครงการดังกล่าวต้องการช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน แต่ไม่ใช่คนไทยทุกคนที่จะได้ประโยชน์ ผู้บริการทั้งโรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ให้ความเห็นว่า ส่วนตัวมองว่า คนที่ได้ประโยชน์ คือ “คนชั้นกลางขึ้นไป” ที่มีกำลังจ่าย และต้องการการบริการที่ดีไม่ต้องการเสียเวลา ดังนั้นจึงเลือกใช้โรงพยาบาลเอกชน
การที่โรงพยาบาลเปิดเผยค่ายาก่อนจ่ายเงินนับว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะคนใช้บริการสามารถตัด สินใจได้ว่าจะจ่ายเงิน สำหรับยาในโรงพยาบาลหรือยอมเสียเวลาไปร้านขายยา ส่วนตนยอมซื้อเวลาซื้อความสะดวก แต่ก็อาจจะมีผู้ใช้บริการบางรายที่มองว่าไปหาซื้อที่ร้านขายยาได้
สำหรับโครงการนี้ ข้อดี คือประชาชนสามารถรู้ค่ายาก่อน แต่ปัญหาอาจจะต้องมองหาร้านยาใกล้บ้านที่เข้าร่วมโครงการมีหรือไม่ ส่วนจะช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาลรัฐหรือไม่ อาจแก้ปัญหาได้ไม่มากเพราะผู้มีกำลังจ่ายไม่สูงอาจจะยังต้องพึ่งพาโรงพายาบาลรัฐ แม้ว่าทราบค่ายาก่อนจ่ายก็ตาม แต่ยังมีค่าแพทย์ ค่าบริการต่าง ๆ ที่ราคาสูงกว่าโรงพยาบาลรัฐที่ใช้สิทธิประกันสุขภาพได้
มีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่ที่ว่า ประชาชนแบบเรา จะเลือกใช้บริการที่ไหนมากกว่า และรับกับความเสี่ยง หากยาที่สำคัญที่ต้องใช้ในการรักษาโรคไม่มีขายในร้านขายยา
อ่านข่าว:
"อนุทิน" คิกออฟ 28 ต.ค.68 เพิ่มทางเลือกประชาชนซื้อยานอกรพ.เอกชน