ในช่วงสงครามเย็นซึ่งเป็นการแข่งขันกันในด้านอำนาจระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตนั้น การมีฐานยิงขีปนาวุธถือเป็นหนึ่งในตัวคานอำนาจที่สำคัญ ให้สมมติว่าประเทศ A กับประเทศ B เป็นศัตรูกัน แล้วประเทศ A มีฐานยิงขีปนาวุธอยู่ใกล้กับประเทศ B แต่ประเทศ B ไม่มีฐานยิงขีปนาวุธใกล้ประเทศ A ประเทศ A จะสามารถยิงขีปนาวุธทำลายฝั่งตรงข้ามได้โดยที่อีกฝ่ายไม่มีสิทธิ์โต้กลับได้เลย
เรื่องสมมตินี้เป็นกรณีที่เกิดขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ซึ่งเรียกได้ว่าอยู่คนละซีกโลก แต่ก็เกือบทำให้ทั้งโลกตกอยู่ในภาวะสงครามนิวเคลียร์ ในบทความนี้เราจะมาดูกันคร่าว ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นในวิกฤตนี้
เนื่องจากทั้งสองประเทศ สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต อยู่คนละซีกโลก และในขณะนั้น เทคโนโลยีขีปนาวุธข้ามทวีป (Intercontinental Ballistic Missile หรือ ICBM) ยังมีข้อจำกัดอยู่ การที่ทั้งสองจะโจมตีกันด้วยขีปนาวุธจึงจำเป็นต้องหาประเทศที่สามมาเป็นประเทศสำหรับตั้งขีปนาวุธระยะสั้นหรือระยะกลาง (Short-range หรือ Medium-range Ballistic Missile) โดยที่ประเทศที่สามมักจะได้รับผลประโยชน์ในการให้ประเทศใดประเทศหนึ่งมาติดตั้งฐานยิงขีปนาวุธที่ประเทศตัวเอง เช่นการคุ้มครองความปลอดภัยของประเทศนั้น ๆ จากฝั่งตรงข้าม
ในกรณีของสหรัฐฯ นั้น ในปี 1961 สหรัฐฯ ได้ติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์ Jupiter ในประเทศอิตาลีและประเทศตุรกี ซึ่งอยู่ใกล้กับสหภาพโซเวียต นั่นทำให้สหรัฐฯ มีความสามารถในการโจมตีสหภาพโซเวียตด้วยขีปนาวุธนิวเคลียร์ได้ในขณะที่สหภาพโซเวียตที่ไม่มีฐานขีปนาวุธที่ใกล้สหรัฐฯ จึงอาจไม่สามารถตอบโต้สหรัฐฯ ได้หากถูกโจมตี
ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นเมื่อสหภาพโซเวียตทราบว่าสหรัฐอเมริกามีแผนที่จะพยายามก่อกบฏในประเทศคิวบา เพื่อล้มอำนาจรัฐบาลคิวบาในขณะนั้นซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่าง สหรัฐอเมริกา จีน และสหภาพโซเวียต สหภาพโซเวียตเห็นจุดนี้เป็นโอกาสจึงเกิดการเจรจากันระหว่างรัฐบาลคิวบาและสหภาพโซเวียต โดยรัฐบาลคิวบายินยอมให้สหภาพโซเวียตติดตั้งฐานยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์อย่างลับ ๆ
ในปี 1962 มีการขนย้ายกำลังพลและเครื่องมือจากสหภาพโซเวียตเข้ามาภายในประเทศคิวบา โดยกำลังพลเหล่านี้ถูกส่งเข้ามาภายในคิวบาภายใต้การหลบซ่อนเป็นพนักงานเครื่องจักร หรือเจ้าหน้าที่การเกษตร ส่วนตัวมิสไซล์หรือขีปนาวุธนั้นก็ถูกซ่อนด้วยต้นปาล์ม
แน่นอนว่าทางสหรัฐฯ ก็เริ่มสงสัยว่าโซเวียตกำลังทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ กับคิวบาอยู่ โดยที่ความสงสัยนี้ไม่ได้มาจากการคาดเดามั่ว ๆ แต่มาจากการสังเกตการณ์ เช่น จำนวนเครื่องบินรบของสหภาพโซเวียตที่มากกว่าปกติในบริเวณประเทศคิวบา หรือการถ่ายรูปขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานของโซเวียตได้ ซึ่งปกติไม่แปลกที่ประเทศคิวบาจะมีอาวุธเหล่านี้ไว้ใช้เอง เช่น มาจากการซื้อ แต่จำนวนที่มากขึ้นผิดสังเกตนั้นก็เป็นเหตุผลให้หน่วยของกรองของสหรัฐฯ เริ่มสงสัยได้
ในช่วงเดือนสิงหาคม 1962 ผู้อำนวยการของหน่วยของกรอง (CIA) ของสหรัฐฯ เขียนหนังสือไปถึงจอห์น เอฟ. เคนเนดี (John F. Kennedy) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้น เพื่อเตือนเขาว่าโซเวียตอาจจะกำลังติดตั้งขีปนาวุธในประเทศคิวบา หน่วยของกรองของสหรัฐฯ ก็ไม่ได้นิ่งดูดายแต่มีการสอดแนมคิวบาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จนสืบพบว่ามีกองกำลังของสหภาพโซเวียตอยู่ในประเทศคิวบา
ทางสหรัฐฯ นั้นไม่ได้มีการตอบโต้ด้วยการเผชิญหน้า แต่มักเป็นการตอบโต้ทางการทูต หรือการตอบโต้ด้วยหน่วยข่าวกรองแทน เช่น การสอดแนมที่มากขึ้นกว่าเดิม การออกคำเตือนให้กับทางคิวบา การซ้อมรบในแถบแคริบเบียน ซึ่งใกล้กับคิวบา ในขณะที่ทางสหภาพโซเวียตเชื่อว่าประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดีขาดความมั่นใจในการเผชิญหน้า เนื่องจากเขาเคยสั่งบุกคิวบามาแล้วแต่ล้มเหลวในยุทธภูมิการบุกครองอ่าวหมู (Bay of Pigs)
ฟางเส้นสุดท้ายคือเมื่อเครื่องบินสอดแนม Lockheed U-2 ถ่ายรูปขีปนาวุธของสหภาพโซเวียตได้ รวมถึงอุปกรณ์ และฐานปฏิบัติการของสหภาพโซเวียต หลักฐานเหล่านี้ทำให้สหรัฐฯ มีการถกเถียงกันว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้ ตั้งแต่ ไม่ทำอะไรเลย ใช้การทูตแก้ปัญหา โน้มน้าวคิวบาอย่างลับ ๆ บุกคิวบา ถล่มคิวบาทางอากาศ หรือใช้กองทัพเรือในการป้องกันการขนย้ายขีปนาวุธเข้ามาเพิ่ม
เสนาธิการทหารทุกคนของสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ในการประชุมขณะนั้นเห็นตรงกันว่าควรบุกคิวบาให้รู้แล้วรู้รอด อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีเคนเนดีเลือกที่จะไม่เชื่อฝั่งเสนาธิการทหารของเขา และใช้วิธีทางการทูตแทน การเจรจาที่เกิดขึ้นนั้นมีความซับซ้อนพอสมควร และสหรัฐฯ ใช้วิธีการหลากหลายในการป้องกันไม่ให้เหตุการณ์นี้ลามไปถึงการเปิดฉากสงครามโลก แต่ท้ายที่สุดแล้วสหรัฐอเมริกายอมถอนขีปนาวุธออกจากอิตาลีและตุรกี แลกกับการที่โซเวียตถอนขีปนาวุธออกจากคิวบา โดยที่สหรัฐฯ ให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่บุกคิวบาหากไม่ได้ถูกโจมตีก่อน
ฟังดูแล้วอาจจะเป็นข้อตกลงที่เหมาะสมเมื่อทั้งสองขั้วอำนาจถอยกันคนละก้าว อย่างไรก็ตาม จริง ๆ แล้วสหรัฐฯ ถอยเพียงแค่ก้าวเดียว ในขณะที่โซเวียตนั้นถอยสองก้าว เนื่องจากการภายในข้อตกลงนั้น สหรัฐฯ จะถอนขีปนาวุธอย่างลับ ๆ ในขณะที่โซเวียตนั้นต้องถอนขีปนาวุธโดยมีสหประชาชาติ (UN) มาช่วยตรวจสอบ นี่ถือเป็นการประจานโซเวียตต่อหน้าประชาคมโลกว่าโซเวียตยอมสหรัฐฯ และท้ายที่สุดผู้นำโซเวียตในขณะนั้น นีกีตา ครุชชอฟ (Nikita Khrushchev) ก็สูญเสียอำนาจหลังจากคณะกรรมการบริหารพรรคคอมมิวนิสต์ หรือ โปลิตบูโร (Politburo) เชื่อว่านีกีตาทำให้โซเวียตขายหน้า
เรียบเรียงโดย โชติทิวัตถ์ จิตต์ประสงค์
🎧 อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech