ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

รู้ไหม...ทำไมเราเลิกกับคนรักได้ แต่เลิกเชียร์ทีมบอลที่รักไม่ได้ ?


Lifestyle

ชนัญชิดา ธนณรงค์

แชร์

รู้ไหม...ทำไมเราเลิกกับคนรักได้ แต่เลิกเชียร์ทีมบอลที่รักไม่ได้ ?

https://www.thaipbs.or.th/now/content/2741

รู้ไหม...ทำไมเราเลิกกับคนรักได้ แต่เลิกเชียร์ทีมบอลที่รักไม่ได้ ?

 

“เจ๊ดำ ศุภชัย หนุมาศ” แขกรับเชิญที่มาร่วมรายการ ด้วยเสื้อบอลสีแดงโลโก้ Adidas Manchester United สะดุดตา จนทีมงานแอบลังเลว่าต้องเปลี่ยนเสื้อเพื่อเลี่ยงโฆษณาแฝงในรายการหรือไม่ เสื้อสีแดงที่บ่งบอก “ตัวตน” ของผู้ใส่ โดยไม่ต้องอธิบายว่า วันนี้เขาจะมาคุยกับเราในรายการในประเด็นอะไร

เจ๊ดำ ศุภชัย หนุมาศ

เจ๊ดำ ศุภชัย หนุมาศ คือชายไทยธรรมดาคนหนึ่ง

แต่หัวใจของเขา “ไม่ธรรมดา” เพราะมันถูกยกให้กับทีมฟุตบอลที่อยู่ห่างออกไปครึ่งโลก คือ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” เขาพิสูจน์ว่า “ความรักในฟุตบอล” ไม่จำกัดระยะทาง ไม่จำกัดอาชีพ ไม่จำกัดภาษา ขอแค่รักจริง และเชื่อในทีมที่เลือกเดินด้วยกันตลอดไป จนฟุตบอลนำพาให้เขากลายเป็นยูทูปเบอร์ช่อง Jdumofficial ที่มีผู้ติดตามหลักแสน หรือที่เขาเรียกว่า “อีหอยหลอด”  กลายเป็น Community ที่เป็นเหมือนครอบครัวใหญ่ของเจ๊ดำ

ขอบคุณภาพจากช่องยูทูบ Jdumofficial

"เรามีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อพี่นิน เราสัมผัสได้ว่าเขาเป็นคนสดใสร่าเริง เป็นคนมีความสุข…” เจ๊ดำ กำลังเล่าถึงเพื่อนสนิท ที่เป็นจุดเปลี่ยนให้เจ๊ดำ เป็นคนที่อยากส่งต่อความสุขให้กับแฟน ๆ อีหอยหลอดของเขา

ทันใดนั้น พี่เอ๋ นิ้วกลม ผู้ดำเนินรายการก็ถามต่อทันทีว่า “เขาเชียร์แมนยูไหมครับ ?”

“เขาเชียร์ลิเวอร์พูล…อ๋อ นี่แหล่ะเป็นเรื่องที่ทำให้เค้ามีความสุขนี่เอง” เจ๊ดำตอบ พร้อมกับเสียงหัวเราะขำอร่อย เหมือนดูหนังคอมเมดี้ ที่จังหวะรับส่งลงตัว 

แมนยูแพ้อีกแล้วเหรอ ? 

เปลี่ยนทีมเชียร์เถอะพี่ จะทนไปทำไม ?

คำพูดแบบนี้แฟนผีแดงน่าจะโดนกันมาไม่รู้กี่รอบแล้ว โดยเฉพาะในช่วงหลายปีที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมีฟอร์มขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนรถสองแถวเจอทางลูกรัง แต่ถึงจะโดนล้อ โดนแซว โดนหักอกจากทีมรักซ้ำ ๆ ก็ยังมีแฟนบอลกลุ่มใหญ่ที่ไม่เคยคิดเปลี่ยนใจ หนึ่งในนั้นคือ "เจ๊ดำ ศุภชัย หนุมาศ" ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนแมนยูตัวยง ชนิดที่ชีวิตนี้ขออยู่กับทีมเดียวไปจนวันตาย

“น่าจะมีความฝันหนึ่ง ที่เจ๊ดำเคยฝันตอนเด็ก ๆ ก็คือไปที่สนาม Old Trafford ?”  พี่เอ๋ นิ้วกลม เอ่ยถาม

ขอบคุณภาพ: Facebook Suppachai Hanumas (Jdum)

“ไปมาแล้วครับ คือที่สุด แว๊บแรกที่เห็นหลังคาสนามนี่คือน้ำตาไหลเลย ด้วยความที่สมัยเป็นเด็ก มอง Old Trafford ไว้เป็นหมุดหมายหนึ่งในชีวิตกับการเป็น Manchester United เชื่อว่าทุกคนที่เป็นแฟนต้องคิดครับ หรือคิดเอาไว้ว่าวันหนึ่งเราจะไปให้ได้ เดี๋ยวมันจะได้ เราคิดอย่างนั้น แล้วรู้สึกว่าครั้งนั้นที่ไปคือปี 2018 เป็นนัดแดงเดือดเกมนั้น ยูไนเต็ดชนะ 2-1 หันไปมองหน้ากันกับเพื่อน ที่ดูฟุตบอลด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ น้ำตาคลอ ไม่ต้องพูดกันก็เข้าใจ ว่ามาถึงแล้ว โอโห…หลังคาสนาม ลานจอดรถ Mega Store มันเหมือนเรากดถ่ายรูปแบบไม่หยุดเลยด้วยตาเนื้อ เหมือนฝันสำเร็จ”

ขอบคุณภาพ: Facebook Suppachai Hanumas (Jdum)

เจ๊ดำ ศุภชัย หนุมาศ ถือเป็น “ต้นแบบ” ของแฟนบอลยุคก่อนโซเชียลมีเดีย คนที่รักทีมจากหัวใจ ไม่ใช่เพราะกระแส ไม่ได้โชว์ตัวเพราะอยากดัง แต่เพราะอยาก "อยู่กับทีม" จริง ๆ ในยุคที่แฟนบอลเปลี่ยนทีมเชียร์ง่ายเหมือนเปลี่ยนกรอบแว่น เจ๊ดำจึงเป็นสัญลักษณ์ของ ความรักที่มั่นคง ไม่หวั่นไหว และไม่ตามแฟชั่น  “ทีมจะตกต่ำแค่ไหน เราก็ยังอยู่ มันเหมือนครอบครัว จะเลิกเชียร์ยังไงได้” ประโยคนี้สะท้อนให้เห็นว่า การเป็นแฟนบอลของเขาไม่ใช่แค่เรื่องกีฬา แต่คือเรื่องของจิตใจและความผูกพัน 

จุดเริ่มต้นของ “ประเพณีการเชียร์ฟุตบอล” ของแฟนบอล

ยุคเริ่มต้น: ศตวรรษที่ 19 ในอังกฤษ ฟุตบอลเริ่มเป็นที่นิยมในอังกฤษช่วงปลาย ศตวรรษที่ 19 ในฐานะ “กีฬาของชนชั้นแรงงาน” เมื่อมีการก่อตั้งลีกอาชีพ (อย่าง Football League ปี 1888) แฟนบอลจึงเริ่มรวมตัวกันตามเมืองต่าง ๆ สนามฟุตบอลกลายเป็น สถานที่รวมพล ของผู้คนในชุมชน ที่มักทำงานในโรงงานเดียวกัน หรืออยู่ละแวกเดียวกันดังนั้น การเชียร์ฟุตบอลจึงไม่ใช่แค่การดูบอล แต่คือการแสดงพลังของ "ชุมชน" และ "อัตลักษณ์ท้องถิ่น"

ขอบคุณภาพ : https://idrottsforum.org

จุดกำเนิดของ “เสียงเชียร์” และ “เพลงในสนาม”

เสียงเชียร์แบบตะโกน / โห่ร้อง เริ่มต้นจากกลุ่มแฟนบอลที่อยากแสดงพลังให้ทีมของตน มีการตะโกนชื่อทีม/นักเตะ กระตุ้นให้นักเตะมีแรงฮึด และสร้างแรงกดดันให้ฝ่ายตรงข้าม

เพลงเชียร์ (Football Chant) แฟนบอลอังกฤษเริ่มร้องเพลงที่แต่งเองโดยดัดแปลงจากเพลงป็อปหรือเพลงพื้นบ้าน เช่น เพลง "When the Saints Go Marching In" ถูกนำมาใช้โดยแฟน Southampton แฟนลิเวอร์พูลนำเพลง "You’ll Never Walk Alone" จากละครเพลงมาเป็นเพลงประจำทีมช่วงปี 1960s การร้องเพลงหมู่กลายเป็น "ธรรมเนียม" และ “สัญลักษณ์ของความสามัคคี”

การสร้างวัฒนธรรมเชียร์ที่เป็นเอกลักษณ์  ธง แบนเนอร์ เสื้อทีม สื่อถึง “การยืนยันตัวตนของกลุ่มแฟนบอล” แต่ละทีมมีสัญลักษณ์ สี และคำขวัญเฉพาะตัว เช่น

  • แมนยู – สีแดง, ปีศาจแดง
  • ลิเวอร์พูล – “YNWA”, You'll Never Walk Alone
  • เชลซี – “Blue is the colour”

เพลงล้อเลียน / การยั่วคู่แข่ง พัฒนาขึ้นตามความเป็นคู่แข่งของแต่ละทีม (rivalries) เช่น แฟนแมนยูล้อแฟนลิเวอร์พูลเรื่อง “เคยได้แชมป์พรีเมียร์ไหม?” วัฒนธรรมนี้สร้าง “พลังในกลุ่ม” และช่วยให้เกมมีสีสัน

การแพร่ขยายสู่ประเทศอื่น ฟุตบอลอังกฤษถูกถ่ายทอดทางวิทยุและโทรทัศน์ไปทั่วโลกตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 20 ประเทศอื่นเริ่มรับเอารูปแบบการเชียร์ไปปรับใช้ และพัฒนาวัฒนธรรมเชียร์ของตนเอง เช่น

  • อาร์เจนตินา – แฟนบอลร้องเพลงเป็นจังหวะกลองแบบอุลตร้า
  • ญี่ปุ่น – มีระเบียบและกลุ่มเชียร์แบบประสานเสียง
  • ไทย – เริ่มมีวัฒนธรรมกลุ่มกองเชียร์ "เชียร์ไทยแลนด์" และ "อุลตร้าไทยแลนด์" ในช่วงฟุตบอลเอเชียนคัพ 2000s เป็นต้นมา

การเชียร์ฟุตบอลของแฟนบอลไม่ได้เริ่มจากการอยาก "ดูเกมสนุก" เท่านั้น แต่มันคือการแสดงพลังของ "ชุมชน" "อัตลักษณ์ทางสังคม" และ “ความรักต่อสิ่งที่เราเชื่อ” พฤติกรรมเชียร์ที่เราคุ้นตาในวันนี้ จึงเป็นผลสืบเนื่องจากวัฒนธรรมชนชั้นแรงงานอังกฤษที่แพร่กระจายไปทั่วโลก

จิตวิทยาการเชียร์กีฬาฟุตบอล: ทำไมเราถึงเปลี่ยนทีมที่เชียร์ไม่ได้ ?

ในโลกของกีฬา โดยเฉพาะฟุตบอล การเชียร์ทีมโปรดไม่ใช่แค่กิจกรรมยามว่างหรือความบันเทิงชั่วครู่ แต่มันคือความผูกพันระดับลึกซึ้งที่หลายคนเปรียบเสมือน "ศาสนา" หรือ "ตัวตน" ของตัวเอง คนที่เคยมีทีมรักแล้วมักจะไม่เปลี่ยนทีมเชียร์เลยตลอดชีวิต แล้วทำไมถึงเป็นแบบนั้น? คำตอบอยู่ในจิตวิทยา ทฤษฎีการสร้างอัตลักษณ์ร่วม (Social Identity Theory)

เป็นทฤษฎีในจิตวิทยาสังคมที่เสนอโดย Henri Tajfel และ John Turner ในปี 1979 ซึ่งอธิบายว่า คนเรานิยมมองตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มต่าง ๆ และรู้สึกมีคุณค่าเมื่อกลุ่มนั้นมีสถานะดีขึ้น

3 ขั้นตอนหลักของทฤษฎีนี้ อธิบายง่าย ๆ คือ

1. Social Categorization (การจัดหมวดหมู่) เรามักแบ่งคนออกเป็นกลุ่ม เช่น “แฟนแมนยู”, “แฟนลิเวอร์พูล”, “แฟนเชลซี” สิ่งนี้ช่วยให้เรารู้ว่า “ใครคือพวกเดียวกับเรา” และ “ใครคือฝ่ายตรงข้าม”

2. Social Identification (การระบุตัวตนกับกลุ่ม) หลังจากจัดกลุ่ม เราจะเริ่ม “อิน” และรู้สึกว่าตัวเองเป็นสมาชิกของกลุ่มนั้นจริง ๆ เช่น “ฉันคือแฟนแมนยู ฉันจะใส่เสื้อทีม เชียร์ทีมนี้เท่านั้น และทีมอื่นคือตัวร้าย!”

3. Social Comparison (การเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม) คนเราจะเริ่มเปรียบเทียบกลุ่มของตัวเองกับกลุ่มอื่น เพื่อ เสริมความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง (self-esteem) เช่น “แมนยูดีกว่าลิเวอร์พูล เพราะมีประวัติศาสตร์เก่าแก่กว่า!” “พวกแฟนเชลซีเปลี่ยนทีมเชียร์บ่อย ไม่เหมือนพวกเราแฟนแมนยู!”

เมื่อนำมาใช้กับ “การเชียร์ฟุตบอล” 

ตัวอย่างพฤติกรรมแฟนบอลที่เข้ากับทฤษฎีนี้:

  • ไม่สามารถเปลี่ยนทีมที่เชียร์ได้ง่าย ๆ เพราะการเชียร์ทีมคือ ส่วนหนึ่งของตัวตน เปลี่ยนทีม = เปลี่ยนตัวตน ซึ่งขัดแย้งกับธรรมชาติของ Social Identity เช่น เจ๊ดำ ศุภชัย หนุมาศ ไม่เคยเปลี่ยนทีมแม้แมนยูจะตกต่ำ เพราะเขารู้สึกว่า “ตัวเองคือแฟนแมนยู ไม่ใช่แค่เชียร์แมนยู”
  •  รู้สึกภูมิใจเมื่อทีมชนะ และเจ็บปวดเมื่อทีมแพ้ เพราะผลการแข่งขันเหมือนสะท้อนสถานะของกลุ่ม และสถานะของ “ตัวเราในกลุ่ม” ด้วย เช่น เวลาทีมชนะ แฟนบอลจะพูดว่า “พวกเราเล่นดีมาก” แม้ตัวเองจะไม่ได้เตะบอลเลยก็ตาม
  • การสร้างศัตรูร่วม – อริทีมคู่แข่ง เพื่อเสริมพลังของกลุ่ม แฟนบอลมักสร้างภาพของ “ทีมตรงข้าม” เป็นฝ่ายร้าย เช่น แมนยู VS ลิเวอร์พูล การเกลียดทีมคู่แข่งช่วยเสริมอัตลักษณ์ของทีมเราให้แข็งแรงขึ้น เช่น “เราไม่ใช่แค่แฟนแมนยู แต่เรา ไม่ใช่แฟนลิเวอร์พูล ด้วย!”
  • การแต่งกาย การใช้ภาษา และวัฒนธรรมแฟนบอล การใส่เสื้อทีม การร้องเพลงเชียร์ การใช้คำเฉพาะ เช่น “ปีศาจแดง”, “เดอะค็อป”, “บลูส์” คือการสร้างวัฒนธรรมร่วมของกลุ่ม เพื่อแสดงว่า “เราคือพวกเดียวกัน”
  • ยอมลงทุน ลงแรง เพื่อทีม เพราะทีมคือ "อัตลักษณ์ส่วนหนึ่งของชีวิต" แฟนบอลอย่างเจ๊ดำจึงยอมเก็บเงินเพื่อไปดูทีมถึงอังกฤษ หรือตื่นตี 3 ดูแมตช์นัดสำคัญ นี่คือการปกป้องกลุ่ม และ “ยืนยันตัวตน” ของตนเองในกลุ่มแฟนบอล

ทีมฟุตบอลที่เรารัก อาจไม่ใช่ทีมที่เก่งที่สุด ไม่ใช่ทีมที่ชนะเสมอไป และก็ไม่ใช่ทีมที่ดูสมเหตุสมผลที่สุดด้วยซ้ำ แต่ทีมเหล่านั้นกลับมีที่ยืนในหัวใจเราอย่างแน่นแฟ้น ราวกับเป็นเพื่อน เป็นครอบครัว หรือกระทั่งเป็นตัวตนอีกด้านที่เรายืนยันว่า “นี่แหละคือเรา”

บางคนเชียร์ทีมเพราะบังเอิญเปิดทีวีดูนัดแรกแล้วตกหลุมรัก บางคนเชียร์เพราะพ่อเชียร์ พี่เชียร์ และบางคนเชียร์จนกลายเป็นชีวิตไปโดยไม่รู้ตัว เหมือนอย่าง "เจ๊ดำ ศุภชัย หนุมาศ" ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ใช้หัวใจทั้งหมดผูกติดกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ใช่เพราะทีมนี้ชนะบ่อย แต่เพราะทีมนี้ “อยู่กับเขามาตลอดชีวิต” เขาไม่ใช่นักเตะ ไม่ใช่โค้ช ไม่ใช่เจ้าของสโมสร แต่เป็นคนหนึ่งที่ “ไม่เคยเปลี่ยนทีมที่เชียร์” 

แม้จะเปลี่ยนบ้าน เปลี่ยนงาน หรือเปลี่ยนยุคสมัยไปแล้วก็ตาม และบางที คำว่ารัก อาจไม่ได้แปลว่ารอวันที่ทีมชนะ แต่มันแปลว่า “จะอยู่ตรงนี้” แม้ทีมจะแพ้ แม้ใครจะล้อ แม้จะต้องตื่นตีสามไปทำงานเช้าต่อ ก็ไม่เป็นไร เพราะสุดท้ายแล้ว...ทีมที่เราเชียร์ อาจไม่ได้เปลี่ยนชีวิตเรา แต่ความรักที่เรามีให้ทีมนี้ มันต่างหากที่ค่อย ๆ สร้างตัวตนของเราขึ้นมา 

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว แล้วคุณล่ะ มีทีมฟุตบอลที่รักในดวงใจเป็นทีมอะไร และไม่อาจเปลี่ยนใจได้ไหม

ไม่ใช่เราเลือกทีม แต่ทีมเลือกเรา…และมันไม่เคยปล่อยเราไปไหนเลย

รับชมเรื่องราว เจ๊ดำ ศุภชัย หนุมาศ  ที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนได้เห็นคุณค่าของการมีชีวิต หรือได้มุมมองใหม่ ๆ และพร้อมมีวันนี้ดีที่สุดในรายการ “Made My Day วันนี้ดีที่สุด” ทางช่อง Thai PBS หมายเลข 3 หรือ รับชมออนไลน์ผ่านทาง www.thaipbs.or.th/Live ชมย้อนหลังได้ที่ https://www.thaipbs.or.th/program/MadeMyDay/episodes/108358 , รับชมแบบ Uncut ได้ที่ https://VIPA.me/th/ และรับฟังเต็มได้ที่ https://www.thaipbspodcast.com/podcast/mademyday

แหล่งอ้างอิงข้อมูล

1. ทฤษฎี Social Identity Theory (การสร้างอัตลักษณ์ร่วม)

  • Tajfel, H., & Turner, J. C. (1979). An integrative theory of intergroup conflict. In W.G. Austin & S. Worchel (Eds.), The Social Psychology of Intergroup Relations. Monterey, CA: Brooks/Cole.
  • Abrams, D., & Hogg, M. A. (1990). Social Identity Theory: Constructive and Critical Advances. Harvester Wheatsheaf.

2. ประวัติศาสตร์การเชียร์ฟุตบอล

  • Goldblatt, D. (2007). The Ball is Round: A Global History of Football. Penguin Books.
  • Taylor, M. (2008). The Association Game: A History of British Football. Routledge.
  • Walvin, J. (1994). The People's Game: A Social History of British Football. Mainstream Publishing.
  • Dixon, K. (2013). Consuming Football in Late Modern Life. Ashgate.

3. จุดกำเนิดเพลงเชียร์ / วัฒนธรรมแฟนบอลอังกฤษ

  • BBC Sport. (2006). How football fans found their voice. [Link: https://www.bbc.co.uk/sport]
  • Guardian Sport. (2013). The story behind “You'll Never Walk Alone”.
  • Redmond, G. (2008). Football, Community and Identity. In Sport and the Working Class in Modern Britain. Routledge.

4. แหล่งเสริมเรื่องพฤติกรรมแฟนบอล / จิตวิทยากีฬา

  • Wann, D. L., Melnick, M. J., Russell, G. W., & Pease, D. G. (2001). Sport Fans: The Psychology and Social Impact of Spectators. Routledge.
  • Giulianotti, R. (2002). Supporters, Followers, Fans, and Flâneurs: A Taxonomy of Spectator Identities in Football. Journal of Sport & Social Issues, 26(1), 25–46.
  • Holt, R. (1989). Sport and the British: A Modern History. Oxford University Press.

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เจ๊ดำ ศุภชัย หนุมาศเชียร์ฟุตบอลเพลงเชียร์ฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดแมนฯ ยูไนเต็ด
ชนัญชิดา ธนณรงค์

ผู้เขียน: ชนัญชิดา ธนณรงค์

Creative GEN Y ฝ่ายรายการสถานการณ์และคุณภาพชีวิต มนุษย์ออฟฟิศ 100 % แต่หมกมุ่นหาเรื่อง พาตัวเองไปเล่นเป็นมนุษย์แบบอื่น ในที่อื่น 200 %

บทความ NOW แนะนำ

ข่าวล่าสุด