แม้จะบอกว่าเป็นคนไม่สนใจดราม่า แต่พอเริ่มไถโซเชียล ฯ ทีไรกลับรู้สึกหัวร้อนกับคอนเทนต์หน้าฟีดทุกครั้ง คุณอาจกำลังติดกับดักที่เรียกว่า “Rage-Baiting” หรือ “เนื้อหาล่อความโกรธ” เข้าให้แล้ว
Rage-Baiting ล่อลวงด้วยความโกรธ
Urban Dictionary ให้คำนิยามของ "Rage-Baiting" ไว้ว่า โพสต์หรือเนื้อหาบนโซเชียลมีเดียที่ถูกออกแบบมาโดยมีเจตนายั่วยุให้ผู้ใช้รู้สึกโกรธ ขุ่นเคืองใจ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วม (Engagement) กับเนื้อหานั้น ไม่ว่าจะเป็นการคลิก คอมเมนต์ กดแชร์ด้วยความไม่พอใจ เนื้อหาประเภทดังกล่าวครอบคลุมถึงข้อความ สื่อวิดีโอ รูปภาพ พาดหัวข่าว
เนื้อหาแบบ Rage-Baiting มีตั้งแต่เรื่องชวนให้หงุดหงิดเล็กน้อย ไปจนถึงระดับสุดโต่ง อาจมาในรูปแบบของวิดีโอสูตรอาหารที่ทำตามไม่ได้จริง พฤติกรรมก่อความวุ่นวายในที่สาธารณะหรือสร้างความเสียหาย อย่างการเปิดเพลงเสียงดัง การกีดขวางทางจราจร หรือที่ร้ายแรงกว่านั้นคือเนื้อหาที่จงใจบิดเบือน ยุยงปลุกปั่น ซึ่งนำไปสู่ความเข้าใจผิดและความเกลียดชังต่อตัวบุคคล การเหยียดเชื้อชาติ เพศ และรสนิยมทางเพศ ฯลฯ
Rage-Baiting ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของเนื้อหาประเภท “คลิกเบต” (Clickbait Content) ในแง่ของการดึงดูดผู้คนให้ “คลิก” หรือมีส่วนร่วมกับเนื้อหานั้น แต่หลายครั้งการจับสังเกตคอนเทนต์ Rage-Baiting ทำได้ยากกว่าคอนเทนต์คลิกเบตทั่วไป เพราะกลไกทางจิตวิทยาที่ซับซ้อนกว่านั้น
Andrea Jones ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษากลยุทธ์การตลาดโซเชียล ฯ อธิบายกับสำนักข่าวบีบีซี (BBC) ถึงความแตกต่างของเนื้อหารูปแบบ Rage-Baiting ไว้อย่างน่าสนใจว่า
Clickbait เป็นกลยุทธ์ที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา นั่นคือมุ่งเป้าไปที่การกระตุ้นให้เรา “คลิกดูเนื้อหา” โดยอาศัยเทคนิค “ช่องว่างความอยากรู้” (Curiosity Gap) หรือการให้คำมั่นสัญญาว่าจะให้ข้อมูลที่น่าสนใจ มีประโยชน์ ซึ่งอาจสามารถจับสังเกตได้จาก การใช้พาดหัวที่คลุมเครือ หรือเกินจริง
แต่มากกว่าการดึงดูดความสนใจ Rage-Baiting เป็นการกระตุ้นให้ผู้ชมเกิดอารมณ์รุนแรง และนำไปสู่การตอบสนองอย่างหุนหันพลันแล่น ไม่ว่าจะเป็นการอยากเข้าไปคอมเมนต์ด่าทอ โต้แย้ง หรือตำหนิ ซึ่งถือเป็นกลวิธีการบงการทางอารมณ์ (Emotional Manipulation) รูปแบบหนึ่ง ที่เข้ามามีอิทธิพลต่อความคิดและพฤติกรรมของเราโดยที่ในบางครั้ง เราเองไม่ทันรู้ตัว และโดยส่วนมากมีแรงจูงใจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของผู้สร้างเนื้อหานั่นเอง
เราจะเห็นการใช้ Rage-baiting ได้ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ที่มักถูกใช้เพื่อปลุกระดม หรือโจมตีฝ่ายตรงข้ามอยู่เสมอ
ผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Organizational Behavior and Human Decision Processes โดย Daniel Mochon และ Janet Schwartz พบว่า ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์มีแนวโน้มให้ความสนใจโพสต์หรือข่าวสารที่กระตุ้นอารมณ์โกรธ หรือไม่พอใจมากกว่าเนื้อหาประเภทอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเนื้อหานั้น ขัดแย้งกับมุมมองหรืออุดมการณ์ทางการเมืองของตนเอง ก็จะยิ่งกระตุ้นให้อยากเข้าไปมีส่วนร่วม วิพากษ์วิจารณ์มากขึ้น และเมื่อบุคคลเข้าไปมีส่วนร่วมกับ Rage-baiting มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะ “เสพติด” หรือตกอยู่ในวงจรของความโกรธนานขึ้นมากเท่านั้น
• ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของเนื้อหา
Rage-Baiting มักเกิดจากการบิดเบือนข้อมูล สร้างเรื่องราวเกินจริงเพื่อกระตุ้นอารมณ์ การตรวจสอบแหล่งที่มาจะช่วยให้เราคัดกรองข้อเท็จจริงและไม่ตกเป็นเครื่องมือของผู้สร้างเนื้อหานั้น
• ไม่คลิก ไม่แชร์ ลดการมีส่วนร่วม
ไม่ให้ความสนใจ หรือมีส่วนร่วมในทุกกรณี อาจใช้ฟังก์ชัน “ซ่อน” หรือ “เลิกติดตาม” เพื่อลดการเห็นเนื้อหาเหล่านั้นในฟีดของคุณ
• จำกัดการใช้โซเชียลมีเดีย
จำกัดเวลาใช้โซเชียลมีเดีย เพราะการใช้เวลากับหน้าจอมากเกินไป ยิ่งเพิ่มโอกาสที่เราจะเข้าถึงเนื้อหาเชิงลบในอินเทอร์เน็ตมากขึ้น
• ใช้เวลานอกหน้าจอ
ออกไปทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย และสร้างสรรค์ เพื่อพักสมองจากการรับข้อมูลข่าวสารในโลกออนไลน์
อย่าให้ Rage-Baiting คุมอารมณ์ของคุณ
การรู้เท่าทันเนื้อหาที่ยั่วยุให้โกรธบนโซเชียลมีเดีย จะช่วยให้คุณปกป้องสุขภาพจิต ลดการมีส่วนร่วมกับคอนเทนต์เชิงลบ และใช้อินเทอร์เน็ตอย่างมีสติและสร้างสรรค์ หากคุณไม่อยากตกอยู่ในกับดักของอารมณ์ อย่าลืม คิดก่อนคลิก และเลือกเสพสื่ออย่างรู้เท่าทันเสมอ
"ตรวจสอบข่าวปลอม คัดกรองข่าวจริง" กับ Thai PBS Verify ได้ที่
• Website : www.thaipbs.or.th/Verify
• Facebook : www.facebook.com/ThaiPBSVerify
• IG : www.instagram.com/ThaiPBSVerify
• TikTok : www.tiktok.com/@ThaiPBSVerify
• LINE : www.thaipbs.or.th/LINEVerify
อ้างอิง: elestoque.org, bbc.com, abc.net.au, onlinedrea.com