ถ้าพูดถึง “วิว ชนัญญา เตชจักรเสมา” หรือ “View Point of View” หลายคนคงนึกถึงผู้หญิงอารมณ์ดีที่ชอบหยิบเรื่องจริงจังมาเล่าให้กลายเป็นเรื่องง่ายและเข้าใจได้ในไม่กี่นาที ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐศาสตร์ จิตวิทยา หรือปรากฏการณ์โลก เธอมี “พรสวรรค์” อย่างหนึ่งที่ควรเรียกชื่อใหม่ว่า “พรแสนสนุก” เพราะเธอทำให้คนดูรู้สึกว่า สาระไม่จำเป็นต้องเครียด และ ความรู้ไม่จำเป็นต้องเป็นภาระ
วันนี้วิวมาเยือนรายการ “Made My Day วันนี้ดีที่สุด” ด้วยชุดสีชมพูสดใส ที่เข้ากับฉากหลังได้เป็นอย่างดี ทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลาย สบาย ๆ เหมือนนั่งคุยเล่นกันที่ห้องนั่งเล่นของบ้าน
“ในยุคสมัยที่เด็ก ๆ หรือจริง ๆ ก็ทุกคนต้องเรียนรู้ตลอดเวลา การเรียนรู้มันก็พ่วงมากับความรู้สึก บางทีมันก็น่าเบื่อ..มันมีวิธีการยังไงที่ทำให้เราไม่รู้สึกเบื่อการเรียนรู้ คีย์มันอยู่ตรงไหน?"
เป็นคำถามที่ พี่เอ๋ สราวุธ ผู้ดำเนินรายการถามแทนคนดู
“คีย์มันอยู่ตรงประโยคที่พี่เอ๋พูดเมื่อกี้ว่า ทำยังไงเราถึงจะเรียนรู้โดยไม่จำเป็นต้องน่าเบื่อ เป็น Mindset ที่วิวไม่เป็น คือวิวไม่ได้มีความพยายามแบบเรื่องนี้น่าเบื่อ ฉันจะสนุกกับมันยังไง วิวไม่ได้มีความคิดแบบนี้ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังเป็นยาขมสำหรับวิว แต่วิวเลือกเสพเรื่องมีสาระที่วิวสนุก แต่เป็นความโชคดี ที่เมื่อเสพไปเยอะ ๆ วิวรู้สึกว่าแทบทุกเรื่องในโลกมันโยงหากันได้เกือบหมด”
วิว อธิบายถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เธอสนใจว่ามีความเกี่ยวข้องกัน ทำให้การเรียนรู้กลายเป็นเรื่องสนุกได้
เพราะสาระไม่จำเป็นต้องน่าเบื่อ และการเรียนรู้ไม่ต้องรอให้โตทำไมเรื่องสาระน่ารู้ในโลก...ถึงต่อกันได้หมด ?
เวลาที่เราดูคลิปของ “วิว Point of View” หลายคนอาจจะเคยรู้สึกเหมือนกันว่า “เอ๊ะ เรื่องนี้มันไปเกี่ยวอะไรกับเรื่องนั้นได้ยังไง?” เช่น คลิปหนึ่งเริ่มจากสงครามในปาเลสไตน์ แล้วจู่ ๆ ก็โยงไปถึงคริสต์ศาสนา อียิปต์โบราณ และแม้กระทั่งการอพยพของชาวยิว
มันฟังดูอลังการ แต่กลับ เข้าใจง่ายแบบไม่รู้ตัว เพราะวิวเล่าให้ฟังเหมือนเล่าประวัติของเพื่อนบ้านคนหนึ่ง มากกว่าเปิดตำราเรียน นี่คือเสน่ห์ของการเรียนรู้แบบเชื่อมโยง (Integrated Learning) และมันคือทักษะที่สำคัญมากสำหรับเด็กและเยาวชนในยุคนี้ ทุกเรื่องในโลก “เชื่อมโยง” กันได้เสมอ
ลองนึกภาพแบบนี้…
คุณอาจเริ่มจากสงครามในปาเลสไตน์ →
แล้วพบว่าเกี่ยวกับศาสนายูดาย →
ซึ่งพาไปถึงเรื่องโมเสสพาชาวยิวหนีออกจากอียิปต์ →
แล้วคุณก็ได้เรียนรู้เรื่องฟาโรห์, ทะเลแดง, และเมืองเยรูซาเล็มไปด้วยในตัว
จาก “ข่าว” กลายเป็น “ประวัติศาสตร์”
จาก “สงคราม” กลายเป็น “ศาสนา”
จาก “ความขัดแย้ง” กลายเป็น “วัฒนธรรม”
และทั้งหมดนี้ เชื่อมถึงกันได้หมด เหมือนลูกโซ่ที่พาให้เราเรียนรู้ต่อได้เรื่อย ๆ แบบไม่มีที่สิ้นสุด
การเรียนรู้ที่ดี ไม่ใช่แค่ “จำให้ได้”แต่คือ “เชื่อมโยงให้เป็น”
เด็กที่โตมากับการตั้งคำถาม และมองว่า “ทุกเรื่องในโลกเกี่ยวข้องกันได้” จะมีแนวโน้มเป็นคนที่ช่างคิด รู้จักมองรอบด้าน และไม่ติดกรอบ
พ่อแม่และครูสามารถส่งเสริมได้ง่าย ๆ เช่น:
- เมื่อลูกดูข่าวสงคราม → ถามว่า “ทำไมเขาถึงสู้กัน?”
- เมื่อลูกอ่านเรื่องอียิปต์ → ชวนคุยต่อว่า “ตอนนั้นมีศาสนาอะไร?”
- เมื่อลูกฟังนิทาน → ลองถามว่า “เรื่องนี้คล้ายกับอะไรที่เราเคยได้ยินอีกบ้าง?”
การเรียนรู้จึงจะไม่หยุดอยู่แค่ “หน้ากระดาษ” แต่จะพาเด็ก “ขุดไปเรื่อย ๆ” จนกลายเป็นการค้นพบที่น่าตื่นเต้น เหมือนเวลาที่เราหลงเข้าไปในยูทูบ แล้วดูต่อ ๆ ๆ แบบไม่หยุด แต่ครั้งนี้…สิ่งที่ได้คือ “ความรู้” ไม่ใช่แค่ความบันเทิง
ทำไมเด็กๆ ควรได้เห็นโลกแบบ Point Of View ?
เพราะในวันที่โลกเต็มไปด้วยข้อมูลและสิ่งเร้ารอบด้าน วิธีมองโลกของวิว คือแบบอย่างของ “การคิดอย่างมีสติ” และ “การเล่าเรื่องอย่างมีหัวใจ”
มันคือการเปลี่ยน “ความรู้” ให้กลายเป็น “ความสนุก” และ “ความเข้าใจ” ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการปลูกฝังนิสัยรักการเรียนรู้ในเด็ก ถ้าเด็ก ๆ ทุกคนโตมาแล้วเล่าเรื่องแบบวิวได้ โลกนี้จะมีนักคิด นักเรียนรู้ และนักตั้งคำถามอีกมากมาย
แล้วถ้าเราจะเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งให้โตมาแบบนั้นบ้าง ต้องทำยังไง?
นักจิตวิทยาด้านพัฒนาการเด็กบอกว่า วิธีที่วิวเล่าเรื่องนั้น สอดคล้องกับหลักการเรียนรู้ของเด็กอย่างน่าทึ่ง และนี่คือ 4 หลักจิตวิทยาสำคัญที่ซ่อนอยู่ใน “สไตล์ของวิว” ที่พ่อแม่สามารถนำไปใช้กับลูกได้จริง
1. “Curiosity Loop” – ให้เด็กสงสัยก่อน ค่อยใส่คำตอบทีหลัง
วิวไม่เคยเริ่มคลิปด้วย “วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่อง...” เธอมักเริ่มด้วยคำถามแปลก ๆ เช่น
“ทำไมธนาคารถึงเคยไม่ให้ผู้หญิงเปิดบัญชี ?”
“ทำไมแชมพูถึงแยกหญิงชาย ?”
นั่นแหละคือเทคนิค “Curiosity Loop” หรือการเว้นที่ว่างให้คนสงสัยก่อน สมองของคนเราจะจดจำสิ่งที่ ‘เราสงสัยเอง’ ได้ดีกว่าสิ่งที่มีคนยัดเยียดมาให้
พ่อแม่หรือครูที่เข้าใจหลักนี้ จะไม่รีบให้คำตอบกับเด็ก แต่จะถามกลับ เช่น
“หนูคิดว่าเพราะอะไรล่ะ ?” หรือพาเขาหาคำตอบด้วยกัน สมองของเด็กจะถูกกระตุ้น และเชื่อมโยงประสบการณ์เข้ากับความรู้ได้ลึกกว่าเดิม
2. “Cognitive Ease” – สมองจะเรียนรู้เมื่อรู้สึกว่าสิ่งนั้นง่าย
วิวเล่าเรื่องด้วยภาษาง่าย เสียงธรรมชาติ และมักเปรียบเทียบกับสิ่งใกล้ตัว เช่นเรื่อง “เงินเฟ้อ” ที่ถูกอธิบายผ่านเรื่องเด็กที่ไปซื้อของแล้วของแพงขึ้น
นี่คือหลัก “Cognitive Ease” ซึ่งหมายถึง เมื่อสมองไม่ต้องใช้พลังมากเกินไปในการทำความเข้าใจ สมองจะเปิดรับและจดจำสิ่งนั้นได้ดี
ในชีวิตจริง ถ้าอยากให้เด็กเรียนรู้เรื่องยาก ๆ ลองเริ่มจากการ “ทำให้เรื่องนั้นดูง่าย” เช่น ใช้ของเล่น ใช้ภาพ ใช้ตัวอย่างในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องยัดศัพท์วิชาการตั้งแต่ต้น ถ้าเด็ก “เข้าใจ” เขาจะ “อยากรู้เพิ่ม”
3. “Storytelling” – เรื่องเล่าทำให้สมองจำแม่น
วิวใช้โครงสร้างการเล่าเรื่องที่มี “ต้น-กลาง-จบ” เหมือนนิทาน ไม่ใช่แค่การเล่าสารคดีแห้ง ๆ นี่คือสิ่งที่นักจิตวิทยาเด็กยืนยันว่า เด็กที่โตมากับนิทานหรือเรื่องเล่า จะมีพัฒนาการด้านความจำ และความเข้าใจที่ดีกว่าเด็กที่โตมากับรายการสอนแบบทางการ
เรื่องเล่าทำให้เกิดภาพในหัว กระตุ้นอารมณ์ และเชื่อมโยงกับชีวิตจริงได้ง่ายกว่า ดังนั้นถ้าพ่อแม่อยากปลูกฝังความรู้ให้ลูก ลองเล่าเป็น “เรื่อง” แทน “ข้อเท็จจริง” เช่น แทนที่จะบอกว่า “ผักมีวิตามิน” ให้เล่าว่า “มีเด็กคนหนึ่งไม่ชอบกินผัก แล้วเขาก็ป่วยบ่อย ๆ จนวันหนึ่ง...”
4. “Reward Dopamine” – ถ้าเรียนรู้แล้วรู้สึกดี สมองจะขออีก
วิดีโอของวิวมักจบด้วยรอยยิ้ม หรือโมเมนต์ที่คนดูรู้สึก “อ๋อ !” และนั่นแหละคือจุดที่สมองหลั่งโดพามีน (dopamine) ซึ่งเป็นสารเคมีแห่งความสุข
เด็กก็เช่นกัน ถ้าเขารู้สึกภูมิใจ รู้สึกว่าสนุกกับการเรียนรู้ สมองจะเชื่อมโยงว่า “การเรียน = ความสุข” และเขาจะอยากเรียนซ้ำอีก
ดังนั้น พ่อแม่ควรให้คำชม ให้กำลังใจ หรือแค่หัวเราะไปกับลูกเมื่อเขาเข้าใจอะไรบางอย่าง แทนที่จะเน้นเพียงผลลัพธ์หรือคะแนนสอบ
สาระที่สนุกได้ = การเรียนรู้ที่ยั่งยืน
“วิว ชนัญญา” อาจไม่ได้ตั้งใจเล่าเรื่องเพื่อลงตำรา แต่สิ่งที่เธอทำคือการ “สร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้” ที่ไม่ต้องน่าเบื่อ
หากเราทำให้บ้าน โรงเรียน และสื่อรอบตัว เป็นแบบเดียวกับสิ่งที่วิวทำอยู่คือให้เด็กสงสัย, เข้าใจง่าย, เล่าเป็นเรื่อง, และจบด้วยความสุข เรากำลังปลูกเด็กคนหนึ่งให้โตมาเป็นผู้เล่าเรื่องที่โลกอยากฟัง
และที่สำคัญ…เขาจะโตมาเป็นคนที่ “อยากเรียนรู้” ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดของชีวิต
สุดท้าย... เราอาจไม่ได้อยากให้ลูกแค่ “เรียนเก่ง” แต่อยากให้เขา มองโลกเป็น เห็นความเชื่อมโยง และเล่าเรื่องเป็น
เพราะคนที่เล่าเรื่องได้ดี ไม่ได้แค่มีความรู้…แต่เขาสามารถเปลี่ยน “ความรู้” ให้กลายเป็น “แรงบันดาลใจ” ให้กับคนอื่นได้ด้วย
แล้วในบ้านของคุณ…วันนี้มีเรื่องไหนบ้าง ที่เราจะเริ่มเล่าให้ลูกฟัง แล้วปล่อยให้เขาสงสัยต่อเอง? แล้วเราก็ปล่อยให้ความสงสัยนั้น พาเขาเดินทางไปค้นพบเรื่องใหม่ ๆ ด้วยตัวเอง เพราะโลกนี้เชื่อมโยงกันเสมอ…ถ้าเรารู้จักเล่า และรู้จักฟังให้เป็น
รับชมเรื่องราว ‘วิว ชนัญญา เตชจักรเสมา’ ที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนได้เห็นคุณค่าของการมีชีวิต หรือได้มุมมองใหม่ ๆ และพร้อมมีวันนี้ดีที่สุดในรายการ “Made My Day วันนี้ดีที่สุด” ทางช่อง Thai PBS หมายเลข 3 หรือ รับชมออนไลน์ผ่านทาง www.thaipbs.or.th/Live ชมย้อนหลังได้ที่ https://www.thaipbs.or.th/program/MadeMyDay/episodes/108495 , รับชมแบบเต็ม Uncut ได้ที่ https://VIPA.me/th/ และรับฟังเต็มได้ที่ https://www.thaipbspodcast.com/podcast/mademyday
แหล่งอ้างอิง:
- Loewenstein, G. (1994). The Psychology of Curiosity: A Review and Reinterpretation. Psychological Bulletin, 116(1), 75–98.
อธิบายเรื่อง Curiosity Loop – คนเราจำสิ่งที่ค้นหาคำตอบเองได้ดีกว่า - Kahneman, D. (2011). Thinking, Fast and Slow.
หนังสืออธิบายแนวคิด Cognitive Ease – สมองเรียนรู้ได้ดีขึ้นเมื่อข้อมูลถูกนำเสนอในรูปแบบที่เข้าใจง่าย - Willingham, D. T. (2009). Why Don't Students Like School?
สนับสนุนหลักการใช้ Storytelling ในการเรียนรู้ โดยเฉพาะกับเด็ก ช่วยให้เกิดการจดจำระยะยาว - Dopamine and learning – Schultz, W. (1998). Predictive Reward Signal of Dopamine Neurons. Journal of Neurophysiology.
อธิบายว่าความรู้สึกดีเมื่อ “เข้าใจบางอย่าง” จะกระตุ้นสมองให้หลั่งโดพามีน ซึ่งช่วยให้เรารู้สึกอยากเรียนรู้ซ้ำ - Bransford, J. D., Brown, A. L., & Cocking, R. R. (2000). How People Learn: Brain, Mind, Experience, and School.
หนังสือที่เน้นว่า "การเรียนรู้แบบเชื่อมโยง" หรือ Interdisciplinary Learning เป็นวิธีที่ช่วยให้เด็กเข้าใจโลกได้ลึกและรอบด้าน