ปัจจุบันมี “วัคซีนไข้เลือดออก” อยู่ 3 ชนิด โดย Dengvaxia ซึ่งเป็นรุ่นแรกที่เลิกผลิตแล้ว และ Qdenga (TAK-003) ซึ่งเป็นรุ่นที่สองที่มีประสิทธิภาพดีในการป้องกันอาการและการเข้ารักษาในโรงพยาบาล และมีวัคซีนอีกชนิดที่อยู่ในระหว่างการวิจัย และถึงแม้จะมีวัคซีนช่วยลดอาการรุนแรง ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในมาตรการป้องกันไข้เลือดออก แต่การรณรงค์กำจัดยุงลายยังคงเป็นมาตรการสำคัญที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไป
ศ.เกียรติคุณ พญ.พรรณี ปิติสุทธิธรรม คณะเวชศาสตร์เขตร้อน ม.มหิดล บรรยายหัวข้อ Dengue Vaccine: Current and the Future ในงานวันไข้เลือดออกอาเซียน 2568 (ASEAN Dengue Day 2025) ซึ่งจัดโดย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ณ โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 68 ระบุถึงสถานการณ์ “ไข้เลือดออก” ในประเทศไทยปี 2567 ซึ่งมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่าปีก่อนและค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา แม้เชื้อจะพบมากขึ้นในกลุ่มหนุ่มสาวและผู้สูงอายุ และยังมีการระบาดจากของเชื้อไข้เลือดออกทั้ง 4 สายพันธุ์ (DEN-1, DEN-2, DEN-3, DEN-4) ซึ่งพบว่ามีการระบาดอยู่ตลอดเวลา แต่ส่วนใหญ่ที่ระบาดมากคือสายพันธุ์ DEN-2 ซึ่งมีแนวโน้มทำให้เกิดโรครุนแรงกว่าสายพันธุ์อื่น
ขณะที่ ในปัจจุบันมีวัคซีนไข้เลือดออกอยู่ 2 ชนิดในตลาด ได้แก่ Dengvaxia ซึ่งเป็นรุ่นแรกที่เลิกผลิตแล้ว และ Qdenga (TAK-003) ซึ่งเป็นรุ่นที่สองที่มีประสิทธิภาพดีในการป้องกันอาการและการเข้ารักษาในโรงพยาบาล โดยเฉพาะในผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อน และมีวัคซีนอีกชนิดที่อยู่ในระหว่างการวิจัยจากสถาบันสุขภาพสหรัฐฯ แต่ยังไม่พร้อมจำหน่าย
1. DENVAXIA-CYD โดย Sanofi Pasteur
สถานะปัจจุบัน : ยุติการผลิต
ใช้เทคโนโลยีลูกผสม (Chimeric Technology) มีหลักการคือใช้ยีนของไวรัสไข้เหลืองสายพันธุ์วัคซีน (YF17D) เป็นแกนหลัก (Backbone) ทำการตัดยีนส่วนที่ควบคุมการสร้างไกลโคโปรตีนส่วนเปลือกหุ้ม [pre-membrane (prM) และ envelope (E)] ออก แล้วใส่ยีนส่วนที่ควบคุมโครงสร้างส่วนแกน (core) และโปรตีนไม่ใช่โครงสร้าง [nonstructural protein (NS)] เป็นไวรัสไข้เหลือง และส่วนเปลือกหุ้มเป็นไวรัสเดงกี เรียกวัคซีนที่ผลิตจากไวรัสลูกผสมนี้ว่า CYD vaccine
สำหรับประสิทธิภาพโดยรวมประมาณ 60% คำแนะนำ ฉีด 3 เข็ม ห่างกัน 6 เดือน ในอายุ 9-60 ปี แต่ข้อจำกัด คือ ต้องมีการตรวจคัดกรองก่อนการฉีดวัคซีน ตรวจเลือดเพื่อดูว่าเคยติดเชื้อมาก่อนหรือไม่

2. TAK-003-QDENGA โดย Takeda
สถานะปัจจุบัน : มีจำหน่ายในท้องตลาด
วัคซีนนี้ใช้เชื้อไวรัสเดงกีสายพันธุ์ 2 DENV-2 (16681) PDK 53 ที่ทำให้อ่อนฤทธิ์เป็นแกนหลัก แล้วแทนที่ยีนส่วนที่ควบคุมการสร้าง prM และ E ด้วยยีนของ DEN-1, 3 และ 4 ดังนั้น วัคซีนชนิดนี้จะมี whole genome ของ DENV-2
การศึกษาที่ใหญ่ที่สุด "TIDES study" เป็นการศึกษาทางคลินิกระยะที่ 3 มีผู้เข้าร่วมการศึกษา 20,099 คน อายุตั้งแต่ 4-16 ปี ทั้งในกลุ่มที่เคยและไม่เคยเป็นไข้เลือดออก ในประเทศที่มีการระบาดของไข้เลือดออก 8 ประเทศ รวมประเทศไทย 2,969 คน
พบว่า TAK-003 (Qdenga) มีประสิทธิภาพโดยรวม 18 เดือน โดยป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการ สูงถึง 80.2% ป้องกันไข้เลือดออกรุนแรง ประมาณ 85.9% และลดอัตราการนอนโรงพยาบาล ประมาณ 90.4%
โดยในการติดตามระยะยาว 4.5 ปี ประสิทธิภาพโดยรวมลดลงเหลือประมาณ 60% แต่เป็นข้อดีสำหรับผู้ที่เคยป่วยไข้เลือดออกมาก่อน และลดอัตราการนอนโรงพยาบาลได้สูงถึง 84% โดยเฉพาะในผู้ที่เคยติดเชื้อแล้ว 85.9-86% ในผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อ ส่วนประสิทธิภาพในการลดอัตราการนอนโรงพยาบาลลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ประมาณ 79.3%
ผลข้างเคียงหลังจากการฉีดวัคซีน อาการปวดตรงบริเวณตำแหน่งที่ฉีดวัคซีน, ปวดศีรษะ, ปวดกล้ามเนื้อ, ไม่สบาย และมีไข้ ซึ่งเป็นปกติของการฉีดวัคซีน

คำแนะนำจากองค์การอนามัยโลก (WHO)
• แนะนำให้ใช้ในเด็กอายุ 6-16 ปี โดยเฉพาะในประเทศที่มีการระบาดสูง ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน โดยสามารถให้ร่วมกับวัคซีนอื่นได้ เช่น วัคซีนไข้เหลือง, ตับอักเสบ A, HPV
• แนะนำให้ฉีดวัคซีน 2 โดส โดยเว้นระยะห่างระหว่างโดสอย่างน้อย 3 เดือน
• การใช้ร่วมกัน หลักฐานที่มีอยู่สนับสนุนการใช้ TAK-003 ร่วมกับวัคซีนไข้เหลือง และไวรัสตับอักเสบเอ, HPV vaccine เมื่อฉีดพร้อมกัน ควรฉีดวัคซีนแยกกัน โดยควรฉีดที่แขนขาคนละข้าง
• นอกจากนี้ ยังต้องรอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสิทธิผล ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสายพันธุ์ DENV3 และ DENV4 ในผู้ที่ผลตรวจเป็นลบ (ผู้ที่ไม่เคยเป็น) หรือไม่มีประวัติเป็นไข้เลือดออก
3. TV003/005-NIH/BHUTANTAN/MSD
สถานะปัจจุบัน : กำลังอยู่ในกระบวนการวิจัยและพัฒนา
ใช้เทคโนโลยี reverse genetic พบว่าการตัดนิวคลีโอไทด์ (nucleotide) จำนวน 30 นิวคลีโอไทด์ ที่ตำแหน่ง 172-143 จากส่วนปลายของ 3' untranslated region บริเวณไม่แปลรหัส สามารถทำให้ DENV-1 และ DENV-4 อ่อนฤทธิ์ลง แต่ยังสามารถกระตุ้นให้สร้างภูมิคุ้มกันได้ดี
ผ่านการศึกษาวิจัยระยะที่ 1 ฉีดให้กับผู้เข้าร่วมการวิจัยที่มีสุขภาพดี 160 คน โดยผู้เข้าร่วมการวิจัยสามารถทนต่อวัคซีนได้ดี ผ่านการศึกษาระยะที่ 2 ทั่วโลก ในอาสมัครเกือบ 2,000 คน พบว่าโดยทั่วไปผู้เข้าร่วมการวิจัยสามารถทนต่อวัคซีน และกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี

ส่วนการศึกษากับประชากร 15,000 คน ในประเทศบราซิล สหรัฐอเมริกา และเอเชีย พบประสิทธิภาพโดยรวมประมาณ 67.3% ประสิทธิภาพดีขึ้นในผู้ที่มีประวัติเคยติดเชื้อ 76.7% และลดลงเล็กน้อยในผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อ แต่เนื่องจากการระบาดในบราซิลขณะนั้น มีเพียงสายพันธุ์ 1 และ 2 จึงมีประสิทธิภาพต่อสายพันธุ์ 1 และ 2 เท่านั้น ปัจจุบันกำลังจะศึกษาระยะที่ 3
"วัคซีน เป็นเพียงมาตรการหนึ่งในการป้องกันโรคไข้เลือดออก แต่การป้องกันที่ดีคือการรณรงค์กำจัดยุงลาย" ศ.เกียรติคุณ พญ.พรรณี ปิติสุทธิธรรม คณะเวชศาสตร์เขตร้อน ม.มหิดล กล่าวทิ้งท้าย.

อ่านเรื่อง “ไข้เลือดออก” เพิ่มเติม
• "ไข้เลือดออก" ไม่ใช่แค่โรคเด็ก! เจาะกลุ่มป่วยอาการรุนแรง เสี่ยงเสียชีวิต
• “ยุง” ยุคโลกเดือด แพร่พันธุ์เร็วขึ้น กัดดุขึ้น
• โรคไข้เลือดออก ภัยอันตรายฤดูฝน
• โลกเดือด “ยุงลาย” กัดดุ - แพร่พันธุ์เร็ว
อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech