เมื่อพูดถึงคำว่า ‘ร่างทรง’ ภาพแรกที่ทุกคนเห็น คงจะเป็นภาพผู้หญิงหรือผู้ชายวัยกลางคน นุ่งขาวห่มขาว สวมสร้อยประคำเม็ดโต พร้อมกับสวดบทสวดมนต์ด้วยน้ำเสียงที่รัวและเร็ว อยู่ด้านหน้าแท่นปะรำพิธีเป็นแน่
แต่ในความเป็นจริงแล้ว บนโลกที่ยังหมุนวนและเคลื่อนตัวไปข้างหน้า (โดยไม่เคยหยุดรอใครเลย) ยังมี “ร่างทรงกะเทย” หรือร่างทรง LGBTQ+ ซุกซ่อนตัวอยู่ที่มุมใดมุมหนึ่ง เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่า บนโลกใบนี้ยังมีความหลากหลายอีกมากมายที่รอการค้นพบอยู่
Thai PBS ชวนคุณไปสำรวจโลกของ ‘ร่างทรง’ คำที่ไม่มีความหมาย และไม่เคยปรากฏในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานในปัจจุบัน แต่มีตัวตนอยู่จริงในสังคมไทย ผ่านชีวิต “ม้าขี่ปู๊เมีย” ร่างทรงกะเทย ที่มอบอำนาจให้ LGBTQ+ ได้รับการนับถือในบริบทสังคมล้านนา
“ร่างทรง” ตัวกลางที่เชื่อมคนกับภูติผีปีศาจเข้าด้วยกัน
ความเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจ และสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมไทยและอุษาอาคเนย์ (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) มาเนิ่นนาน จนยากที่จะแยกออกจากกัน โดยส่วนใหญ่มักยึดโยงกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เผลอ ๆ อาจจะเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการจารึกประวัติศาสตร์ และการเข้ามาของศาสนาพุทธ, ฮินดู, คริสต์ หรืออิสลาม รวมถึงวิทยาศาสตร์ ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่เราได้รับอิทธิพลมาจากปัจจัยภายนอก เช่น การค้าขาย, การทำศึกสงคราม หรือการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ด้วยซ้ำ
ถ้าจะให้นิยามความหมายของคำว่า “ผี” แบบกระชับและเข้าใจง่ายที่สุด ผีก็คือวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิต หรือล่วงลับดับสูญไปแล้วจากวัฏสงสาร ไม่อยู่ในระบบการเวียนว่ายตายเกิด กลายเป็นสิ่งที่ “มนุษย์” ธรรมดามองไม่เห็น แต่ยังมีอิทธิฤทธิ์สามารถชี้เป็นชี้ตาย หรือดลบันดาลให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ บนโลกมนุษย์ได้อยู่
ดังนั้น เพื่อให้ทุกชีวิต ‘อยู่เย็นเป็นสุข’ จึงต้องมีพิธีการเซ่นไหว้ผีเกิดขึ้น เป็นการแสดงความเคารพด้วยการสักการะบูชา เพื่อให้ผีพึงพอใจ และช่วยปกป้องคุ้มครองคนในหมู่บ้านให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง
เมื่อหันกลับมามองที่ประเทศไทย เราจะเห็นได้ว่า ‘สังคมล้านนา’ เองก็เป็นอีกหนึ่งสังคมที่มีการนับถือผีอย่างเข้มข้น โดยคนล้านนาจะแบ่งผีออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ ตามเจตนาของผี นั่นคือ ‘ผีดี’ และ ‘ผีร้าย’
โดย ‘ผีดี’ คือผีที่คอยปกปักรักษา คุ้มครองคนให้อยู่อย่างเป็นสุข ยกตัวอย่างเช่น ผีปู่ย่า (ผีบรรพบุรุษ), ผีเฮือน (ผีบ้านผีเรือน), ผีเสื้อบ้าน เสื้อเมือง (ผีอารักษ์เมือง), และผีเจ้านาย (ผีที่เคยเป็นกษัตริย์ มีเชื้อเจ้าขุนมูลนาย หรือเคยปกครองเมืองตอนที่ยังมีชีวิตอยู่) ส่วน ‘ผีร้าย’ คือ ผีที่ใช้อิทธิฤทธิ์และพลังเหนือธรรมชาติที่ตัวเองมี เพื่อทำร้ายผู้คนให้บาดเจ็บล้มตาย
แน่นอนว่า เมื่อผีกลายเป็นสิ่งที่มนุษย์ธรรมดา ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า การจะพูดคุยสื่อสารความต้องการกับผี จึงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก เมื่อนั้น ‘คนทรงเจ้า’ หรือ ‘ร่างทรง’ จึงถือกำเนิดขึ้น โดยทำหน้าที่เป็นตัวกลาง คอยรับ-ส่งสาร ระหว่างมนุษย์กับผี เพื่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่ต่างจากการเป็น ‘วุ้นแปลภาษา’ ในโดราเอม่อน
‘ร่างทรง’ และ ‘คนทรงเจ้า’ ถูกพูดถึงครั้งแรกอย่างเป็นทางการในสายตาชาวโลก จากพระไตรปิฎก เล่มที่ 9 ทีฆนิกาย ซึ่งมีการกล่าวถึง ‘หมอทรงกระจก’, ‘หมอทรงหญิงสาว’ และ ‘หมอทรงเจ้า’ ในขณะที่ ‘ร่างทรง’ ถูกพูดถึงในประเทศไทยครั้งแรก ในกฎหมายตราสามดวง ซึ่งในบางช่วงบางตอน ก็มีการกล่าวถึงพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ โดยสันนิษฐานว่า ‘ร่างทรง’ เอง น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับคาถาอาคม
นอกจากนี้ ‘ร่างทรง’ และ ‘ผีเจ้านาย’ ยังถูกพูดถึงครั้งแรกในประวัติศาสตร์ล้านนา ในฐานะข้อต่อรองเงื่อนไขทางการค้า ในยุคสมัยของเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าหลวงเมืองเชียงใหม่ องค์ที่ 7 ซึ่งมีกลุ่มชาวจีนรวมตัวกันผูกขาดการต้มเหล้าในเมืองเชียงใหม่ ‘เจ้าอุบลวรรณา’ พระขนิษฐาของ ‘แม่เจ้าทิพเกสร’ พระชายาของเจ้าอินทวิชยานนท์ จึงได้ทำพิธีเป็น ‘ม้าขี่’ หรือร่างทรงให้ผีเจ้า ‘กาวิโลรสสุริยวงศ์’ เจ้าหลวงเชียงใหม่องค์ที่ 6 ประทับทรง เพื่อขู่เตือนไม่ให้ชาวจีนผูกขาดการต้มเหล้าเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นบุคคลผู้นั้นจะได้รับความเจ็บป่วย รวมถึงอาการป่วยของแม่เจ้าทิพเกสรที่เป็นอยู่เดิมก็จะหนักลงไปอีก เจ้าอินทวิชยานนท์จึงสามารถออกคำสั่งยกเลิกการผูกขาดการต้มเหล้าได้ง่าย
จะเห็นได้ว่าความเชื่อเรื่อง ‘ร่างทรง’ นั้น หยั่งรากลึกเข้มข้นในสังคมพหุวัฒนธรรมแทบทุกที่ ไม่เว้นแม้กระทั่งในสังคมล้านนา เพียงแค่เปลี่ยนชื่อเรียกจากร่างทรง หรือคนทรงเจ้า เป็น “ม้าขี่” เท่านั้นเอง
เปิดชีวิต ‘ม้าขี่ปู๊เมีย’ ร่างทรงกะเทยผู้ทรงฤทธิ์แห่งอาณาจักรล้านนา
Thai PBS ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “อาร์เธอร์” ธนินพัชร์ อินทนนท์ ผู้ซึ่งเป็นม้าขี่ปู๊เมียในชีวิตจริง นอกเหนือไปจากการเป็นคอสตูม หรือผู้ดูแลเครื่องแต่งกายของนักแสดงในกองถ่าย และเป็นนักแสดงแบบ ‘เฉพาะกิจ’ ในบางครั้ง ได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการเป็น ‘ม้าขี่’ ในชีวิตจริง ว่าเกิดขึ้นหลังจากที่ ‘คุณย่า’ ได้เสียชีวิตลงไปไม่นาน
ผมรู้จักคำว่า ‘ม้าขี่’ มาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่สมัยที่คุณย่ายังมีชีวิตอยู่ รู้ว่าสายตระกูลของเรามีการเลี้ยงผี มีการนับถือ ‘ผีปู่ย่า’ หรือผีบรรพบุรุษ แบบสืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งรุ่นล่าสุด (ในตอนนั้น) ก็ ‘ลงย่ำ’ หรือประทับทรงที่ตัวคุณย่า
นอกจากจะได้รู้จักกับคำว่าม้าขี่ เด็กชายอาร์เธอร์ (ในตอนนั้น) ยังได้รู้จักกับคำว่า ‘ปู๊เมีย’ ครั้งแรกจากปากผีเจ้านาย ซึ่งมารู้ทีหลังเหมือนกันว่านั่นเป็นคำที่เอาไว้ใช้เรียกเกย์,กะเทย หรือผู้ชายที่มีจริตออกสาว
สำหรับผม คำว่า ‘ปู๊เมีย’ หรือคำว่า ‘กะเทย’ ไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่เท่ากับการทำท่าทางล้อเลียน หรือมาทำตัวอ้อนแอ้นใส่ ซึ่งตอนเด็ก ๆ ผมเจอบ่อยมาก บางครั้งผมก็กลับมาคิดกับตัวเองเหมือนกันนะ ว่าทำไมต้องเจอแบบนี้
สำหรับอาร์เธอร์แล้ว เขาแค่เป็นตัวเอง ในแบบที่ตัวเองเป็น เพราะรู้ว่าตัวเองชอบอะไร และมีความสุขกับสิ่งไหนในชีวิตเท่านั้นเอง
อาร์เธอร์เล่าว่าตอนที่ ‘ผีปู่ย่า’ ได้ลงย่ำครั้งแรกในงานดำหัวพ่อบ้าน สิ่งเดียวที่ยังพอจะจำได้ แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานกว่า 20 ปีแล้ว คือความรู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรงในช่วงก่อนที่ผีปู่ย่าจะเข้ามาลงย่ำ แต่ไม่สามารถจำรายละเอียดเรื่องอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการลงย่ำได้เลย
“สิ่งหนึ่งที่ผมเพิ่งมารู้ทีหลัง ตอนที่แม่บอก คือหลังจากที่ผีปู่ย่าลงย่ำแล้ว เขาจะมีการ ‘สืบ’ กันด้วยนะฮะ เป็นคล้าย ๆ การสืบสวนสอบสวน ว่ามีเหตุการณ์สำคัญ ๆ อะไรเกิดขึ้นบ้าง ในรุ่นก่อนหน้าย่าผม ทั้งที่ในความเป็นจริง ตอนนั้นผมในเวลาปกติก็ไม่รู้หรอก ไม่เคยมีใครบอก แต่ผมตอบได้ ผู้เฒ่าผู้แก่เขาเลยยอมรับกันว่าผีปู่ย่าได้ลงย่ำผมแล้ว” อาร์เธอร์เล่าเสริม
โดยประเภทของม้าขี่จะแบ่งตามความถี่และรูปแบบในการลงย่ำ นั่นคือ ทรงประจำวัน (ลงย่ำทุกวัน), ทรงประเพณี (ลงย่ำตามงานประเพณี หรือเพื่อบูชาบรรพบุรุษ) และทรงเฉพาะกิจ (ลงย่ำเพื่อรักษาคนแบบเป็นครั้งคราว)
อย่างไรก็ตาม ‘การรักษา’ ในที่นี้ มีทั้งการให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตในด้านต่าง ๆ กับผู้คน เช่น ปัญหาความรัก, การตามหาของ, การตามหาคน หรือการตรวจดวงชะตา รวมถึงการรักษาโรคด้วยยาสมุนไพรควบคู่ไปกับการร่ายคาถาอาคม เช่น นำไปสด ๆ ของต้นกระดูกไก่ดำมาโขลกกับเหล้าขาวแล้วเอามาพอกที่แผล พร้อมกับรดน้ำมนต์ เป็นต้น ซึ่งผู้คนเหล่านั้นมองว่า ในบางครั้ง ‘วิทยาศาสตร์’ ก็อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายในการแก้ปัญหา
อาร์เธอร์นิยามความหมายของ ‘ม้าขี่ปู๊เมีย’ ว่าเป็นตัวเชื่อมระหว่างโลกวิญญาณกับโลกมนุษย์ ซึ่งไม่ได้มีความแตกต่างจาก ‘ร่างทรง’ โดยทั่วไป นั่นคือมีหน้าที่ช่วยเหลือคน และช่วยเหลือผี ด้วยการเป็นตัวกลางให้ผีได้สื่อสารกับคน คนได้รับคำปรึกษา ส่วนผีก็จะได้สร้างบุญบารมี เพื่อไปเกิดในภพภูมิที่ดีขึ้นด้วย
เมื่อ ‘เพศสภาพ’ และ 'เพศภาวะ' อาจไม่ใช่ปัจจัยหลักในการเลือกม้าขี่
อาร์เธอร์เล่าว่า ผีเจ้านายจะเลือกม้าขี่จากการที่มีบุญสัมพันธ์กัน หรือการมีขวัญผมหอม (ขวัญที่ผีชอบ) ส่วนผีปู่ย่า ซึ่งจัดเป็นผีบรรพบุรุษหรือผีสายตระกูล ในอดีตจะนิยมเลือกม้าขี่ที่เป็นลูกสาวคนเล็กในตระกูล แต่ในปัจจุบัน อาร์เธอร์มองว่า ‘เพศสภาพ’ ไม่ได้เป็นปัจจัยหลักอีกต่อไปแล้ว
“เอาง่าย ๆ ขนาดผู้หญิง หรือลูกสาวคนเล็กที่มีจิตใจเป็นชายก็ยังมีเลย ผมว่าเขาไม่ได้ดูที่เพศสภาพภายนอกแล้ว เขาน่าจะดูที่นิสัยหรือความสนใจมากกว่า อย่างผม สมัยยังเด็กก็จะช่วยคุณย่าดูแลหิ้งปู่ย่า (หิ้งบูชาบรรพบุรุษ) อยู่แล้ว นี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลที่ผมถูกเลือก” อาร์เธอร์กล่าว
“ผมมองว่าการเลือกม้าขี่ มันก็เหมือนกับการที่ CEO เลือกพนักงานแหละครับ เขาก็ไม่ได้มาเลือกหรอกว่าคุณเป็นเพศอะไร แต่เธอทำเป็นนะ เธอมีความรู้ เธอมีความสนใจ ฉันก็เลยเลือกเธอ มันแค่นี้เลย ไม่เกี่ยวกับเป็นผู้หญิง เป็นผู้ชาย หรือเป็นเกย์ เป็นกะเทย”
อาร์เธอร์เล่าว่า เพื่อรักษา ‘สถานภาพ’ ความเป็นม้าขี่ให้คงอยู่ต่อไป (อย่างน้อยก็ก่อนที่ม้าขี่คนนั้นจะแก่ตัวหรือตายไป) ก็จะต้องมีการปฎิบัติตัวตามหลักการครองตนอยู่บางประการ เช่น การไม่สวมเสื้อผ้าสีดำหรือสีเข้มไปงานบ้านศพ (งานศพ), การไม่ร่วมรับประทานอาหารหรือร่วมพิธีในงานศพหรืองานอวมงคล, ไม่รับประทานผักหรือผลไม้ที่เป็นเครือเถา เช่น พืชกลุ่มแตง ฟัก บวบ ผักปลัง หรือยอดมะพร้าวอ่อน ที่สำคัญที่สุดคือ จะต้องรักษาศีล 5 อยู่เสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ ‘ม้าขี่’ ทุกคนจะต้องทำอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่ ‘ม้าขี่ปู๊เมีย’ - นี่อาจจะเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งที่ทำให้ตัวม้าขี่มี ‘ความพิเศษ’ กว่าคนธรรมดาทั่วไป และยังเป็นการเสริมสร้างความน่าเลื่อมใสให้กับตัวม้าขี่เองอีกด้วย
จากงานวิจัยเรื่อง “พิธีกรรมทรงผีเจ้านาย : พื้นที่เปิดทางเพศภาวะ” ของสุระ อินตามูล ในล้านนา และบทความเรื่อง “ร่างทรง และพื้นที่ทางสังคมของคนข้ามเพศ” ของกิ่งแก้ว ทิศตึง ได้ทำการสัมภาษณ์ม้าขี่ปู๊เมียตั้งแต่รุ่นอาวุโส วัยกลางคน จนถึงคนรุ่นใหม่ พบว่าม้าขี่ปู๊เมียมีสัดส่วนครึ่งต่อครึ่งเมื่อเทียบกับม้าขี่ผู้หญิง โดยจากการสัมภาษณ์ม้าขี่ปู๊เมียจำนวน 5 คน ของสุระ อินตามูล มีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า การที่ผีเจ้านายเลือกลงย่ำเกย์หรือกะเทย เพราะไม่มีปัญหาเรื่องประจำเดือน สามารถดูแลเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย หอผี ให้สะอาด เรียบร้อยได้เหมือนผู้หญิง และมีปัญหาการดื่มเหล้า สูบบุหรี่ในชีวิตประจำวันน้อยกว่าผู้ชาย
ถ้าหากจะให้วิเคราะห์กันแบบจริง ๆ จัง ๆ การที่มีร่างทรงกะเทยเกิดขึ้น ด้วยเหตุผลที่ว่า กะเทยเป็นเพศที่ไม่มีปัญหาเรื่องประจำเดือน แถมยังมีความละเอียดอ่อน หรือเรียบร้อยเหมือนผู้หญิง ก็เป็นเหมือนการตัดสินอยู่กลาย ๆ ว่าประจำเดือนเป็นของสกปรก และเหมารวมบทบาททางเพศของผู้หญิง หรือคนที่เพศสภาพเป็นหญิง ให้เป็น ‘แม่ศรีเรือน’ ที่ผูกติดอยู่กับบ้านตลอดเวลา รวมถึงเหมารวมเพศชายว่าไม่ถูกเลือกให้เป็นม้าขี่ เพราะสูบบุหรี่ หรือดื่มเหล้าอีกด้วย
มี ‘ม้าขี่’ ในสังคมล้านนา ไม่ได้แปลว่ามีความเท่าเทียมทางเพศแล้ว ?
เมื่อถูกถามว่า การมี ‘ม้าขี่ปู๊เมีย’ ทำให้สังคมล้านนามีความเข้าใจในเพศหลากหลายมากขึ้นหรือไม่ อาร์เธอร์รีบตอบกลับมาทันทีว่า “ทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิม”
“ในสังคมล้านนายุคปัจจุบัน วัยผู้ใหญ่หรือคนเจนเก่า เขาก็ยังมองว่าปู๊เมียเป็นกะเทยอยู่ ยังมีการบูลลี่ มีการพูดจาเสียดสี อาจจะไม่ได้ถึงขั้นล้อเลียนแบบสมัยก่อน แต่จะให้บอกว่าเกิดการยอมรับแล้ว ก็คงไม่ใช่”
อาร์เธอร์มองว่าความเข้าใจในเรื่อง LGBTQ+ ในสังคมล้านนายังมีความ ‘แบ่งรับแบ่งสู้’ หรือการยอมรับอย่างมีเงื่อนไขอยู่ เช่น ม้าขี่ปู๊เมียจะต้อง ‘มืออ่อนตีนอ่อน’ ไม่แสดงจริตเกินหน้าเกินตา และต้องรักษาภาพลักษณ์ไม่ให้ ‘เกินงาม’ อยู่เสมอ สอดคล้องกันกับการสัมภาษณ์ม้าขี่ปู๊เมียจำนวนหนึ่ง จากบทความของกิ่งแก้ว ทิศตึง พบว่ามีแสดงความเห็นว่า แม้ตนจะได้รับความเคารพนับถือ แต่ผู้คนเหล่านั้นกลับเคารพผีเจ้านายที่ลงย่ำอยู่มากกว่าเคารพตนในฐานะ LGBTQ+ คนหนึ่ง
อาจกล่าวได้ว่าแม้ ม้าขี่ปู๊เมียจะได้รับความเคารพนับถือในสังคมแบบอนุรักษ์นิยมของล้านนา แต่ก็เป็นความเคารพและยำเกรงในฐานะ ‘ร่างทรง’ แต่ไม่ได้ถูกยอมรับในฐานะปัจเจกบุคคลทั่วไปอยู่ดี
‘ม๊าขี่ปู๊เมีย’ จึงเป็นตัวแทนของคนที่สามารถมีพลังอำนาจในโลกที่เชื่อมโยงกับวิญญาณน่าสะพรึงกลัว แม้ว่าในโลกความเป็นจริง (ไม่อิงนิยาย) กะเทยหลายคน รวมถึงผู้ที่นิยามตัวเองว่าเป็นเพศหลากหลาย อาจจะยังไม่ถูกยอมรับ ยังต้องต่อสู้กับอคติทางเพศกันต่อไปยาว ๆ เพื่อความเท่าเทียมทางเพศ ซึ่งควรจะเป็นของคนทุกคน และทุกเพศอย่างแท้จริง
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก
- หนังสือ Deities and Divas ไสยเวท เพศ ผี: ร่างทรงองค์เควียร์ในอุษาคเนย์ (2567)
- หนังสือ ร่างทรงเกย์ หมอดูกะเทย สบงหลากสี ความหลากหลายทางเพศในศาสนาและพิธีกรรมสมัยใหม่ (2567)
- งานวิจัยเรื่อง “พิธีกรรมทรงผีเจ้านาย : พื้นที่เปิดทางเพศภาวะในสังคมล้านนา” โดย สุระ อินตามูล (2555)
- บทความเรื่อง ร่างทรง และพื้นที่ทางสังคมของคนข้ามเพศ โดย กิ่งแก้ว ทิศตึง (2559)
- บทความออนไลน์เรื่อง “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ (สืบค้นเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 2568)