ในการผ่าตัดขนาดใหญ่ มักจะต้องใช้ยาสลบหรือ “General Anesthesia” ทำให้ผู้ป่วยหมดสติเพื่อให้ศัลยแพทย์ผ่าตัดได้ การวางยาสลบนั้นมีหลากหลายวิธีทั้งการฉีดเข้าเส้นเลือดหรือการดมยา รวมถึงการประคองให้ผู้ป่วยอยู่ในภาวะสลบระหว่างการผ่าตัด ซึ่งดูแลโดยวิสัญญีแพทย์ (Anesthesiologist) และวิสัญญีพยาบาล
การวางยาสลบถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนใหญ่ของการผ่าตัดที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่ไม่เคยเข้ารับการผ่าตัดด้วยยาสลบแบบ General Anesthesia มาก่อน เนื่องจากมีความเสี่ยงที่ผู้ป่วยอาจจะเกิดการแพ้ยาสลบหรือเกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้ หนึ่งในอาการดังกล่าวก็คือ “Malignant Hyperthermia” หรือภาวะไข้สูงอันตรายจากปฏิกิริยาต่อยาสลบ
อาการหลักของ Malignant Hyperthermia หรือ MH คือ ภาวะไข้สูงอันตราย ซึ่งผู้ป่วยอาจมีอุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 40 ถึง 43 องศาเซลเซียส (Hyperthermia) ชีพจรเต้นเร็ว (Tachycardia) อัตราการหายใจเร็ว (Hyperventilation) รวมถึงภาวะกล้ามเนื้อแข็ง (Rigid Muscles) และภาวะกล้ามเนื้อสลายเฉียบพลัน (Rhabdomyolysis)
อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นหลังจากผู้ป่วยได้รับยาสลบบางประเภท โดยยาที่มักทำให้เกิด MH คือ ยาสลบประเภทสูดดม เช่น Isoflurane, Desflurane และ Sevoflurane รวมถึงยาคลายกล้ามเนื้อที่ใช้หลังการวางยาสลบ เช่น Suxamethonium Chloride (Succinylcholine) อย่างไรก็ตาม ยาสลบบางชนิด ไม่ทำให้เกิดภาวะ MH เช่น Ketamine และ Propofol ซึ่งยาเหล่านี้เป็นยาที่ฉีดเข้าเส้นเลือด
กลไกของ MH เกิดจากการกลายพันธุ์ของยีนสังเคราะห์ตัวรับไรยาโนดีน (Ryanodine Receptor Type 1 หรือ RYR1) ซึ่งการกลายพันธุ์ดังกล่าวทำให้ RYR1 ควบคุมปริมาณแคลเซียมไอออนในกล้ามเนื้อไม่ได้ ควบรวมกับการกระตุ้นจากยาสลบที่มีผลต่อการควบคุมปริมาณของแคลเซียมไอออน การตอบสนองในการป้องกันไม่ให้มีแคลเซียมไอออนในกล้ามเนื้อมากเกินไปหรือที่เรียกว่า Sequestering จะใช้ Adenosine Triphosphate หรือ ATP ในการดึงแคลเซียมไอออนกลับเข้ามา ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดความร้อน ปริมาณ ATP ที่ลดลงรวมถึงความร้อนที่เกิดขึ้นจะสร้างความเสียหายให้กับกล้ามเนื้อ จึงเกิดการสลายตัวของกล้ามเนื้อย่างเฉียบพลัน ทำให้เกิดภาวะ Rhabdomyolysis
สัญญาณของ MH หลังจากการให้ยาสลบหรือยาคล้ายกล้ามเนื้อคือการหดตัวของกล้ามเนื้อกราม (Masseter Muscle) ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ที่สูงขึ้น (ETCO2 Elevation) ภาวะเลือดเป็นกรด (Respiratory Acidosis) ไข้สูง และความผิดปกติอื่น ๆ เช่น ชีพจรเต้นเร็ว หัวใจเต้นผิดจังหวะ
อาการเหล่านี้ของ MH มักเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันหรือไร่เรี่ยกัน ดังนั้นการทราบว่ากลุ่มอาการเหล่านี้เกิดจากภาวะ MH จึงเป็นเรื่องสำคัญของทีมผ่าตัดและวิสัญญีแพทย์ ในอดีตที่ความเข้าใจของ MH ยังไม่แพร่หลาย แพทย์ไม่ทราบวิธีการรับมือ ผู้ป่วยมีอัตราเสียชีวิตจาก MH ถึง 80% ในช่วงปี 1970
ปัจจุบัน แพทย์สามารถรักษา MH ได้อย่างทันท่วงทีและมีวิธีในการรับมือที่ชัดเจน ทำให้มีอัตราการเสียชีวิตจาก MH ระหว่างการผ่าตัดเหลือเพียง 5% วิธีในการรักษาในปัจจุบันทำได้โดยการหยุดให้ยาสลบทันที และให้ Dantrolene ซึ่งเป็นตัวยับยั้งโปรตีนขนส่งแคลเซียมไอออน (Calcium Channel Blocker) ทำงานโดยการหยุดการปล่อยแคลเซียมไอออนด้วยการยับยั้งตัวรับไรยาโนดิน ซึ่งถือเป็นการรักษาหลัก ตามมาด้วยการรักษาตามอาการอื่น ๆ เช่น การใช้ผ้าห่มเย็นในการลดอุณหภูมิร่างกายของผู้ป่วย การรักษาภาวะเลือดเป็นกรดจากระบบหายใจ และการประครองภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นต้น
แม้ MH จะเป็นผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ของการวางยาสลบ แต่ก็เป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้ยาก โดยมีอัตราการเกิดเพียงประมาณ 1:5000 ถึง 1:100,000 คนในกลุ่มประชากรทั่วโลก นอกจากนี้อัตราความเสี่ยงยังขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ และปัจจุบันแพทย์มีแนวโน้มที่จะรับมือได้อย่างทันท่วงที จึงถือว่าเป็นภาวะที่มีความเสี่ยงต่ำในการทำให้เสียชีวิต
เรียบเรียงโดย
โชติทิวัตถ์ จิตต์ประสงค์
Prince of Wales Hospital
Department of Orthopaedics and Traumatology
Faculty of Medicine, The Chinese University of Hong kong
อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech