จากกรณีศิลปินชื่อดังบาดเจ็บจากเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทภายในปั้มน้ำมัน ใครที่ติดตามข่าวนี้น่าจะคุ้นชินกับคำว่า “การป้องกันตัว” ซึ่งเป็นคำที่มักจะถูกหยิบยกนำมากล่าวอ้างในยามที่เกิดเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทอยู่เป็นประจำ
แต่พอได้ยินบ่อยเข้าก็อาจเริ่มเกิดความสงสัยว่าการป้องกันตัวในที่นี้มีความหมายว่าอย่างไร และถ้าเราป้องกันตนเอง การกระทำของเราจะถูกมองว่าเป็นการป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หรือจะกลายเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายเสียเอง บทความนี้จะพาไปสำรวจเนื้อหาของกฎหมายที่ว่าด้วยสิทธิในป้องกันตัว เพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงเส้นแบ่งที่สำคัญในกฏหมายมาตรานี้
อำนาจของกฎหมาย และสิทธิ์ในการป้องกันตัว
กฎหมายอาญาได้รับรองสิทธิ์ในการป้องกันตัวของประชาชนผ่าน ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ใจความของกฎหมายได้ระบุไว้ว่า
"ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ การกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด"
จากข้อความข้างต้น เราสามารถนำใจความสำคัญและประโยคในข้อกฏหมายมาตีความเพื่อให้เห็นว่าการป้องกันตัวเองโดยชอบด้วยกฎหมายนั้นเป็นการประทำที่เกิดขึ้นในรูปแบบใดได้บ้าง
- เป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนเองหรือผู้อื่น แสดงให้เห็นว่าสิทธิในการป้องกันตัวของเรานั้นนอกจากตนเองแล้ว ยังครอบคลุมไปถึงผู้อื่นด้วย
- ภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายที่ละเมิดกฎหมาย การป้องกันตัวจะใช้กล่าวอ้างได้ก็ต่อเมื่อมีการประทุษร้ายที่ละเมิดกฎหมาย
- ภยันตรายที่ใกล้จะถึง การป้องกันจะเกิดได้ต่อเมื่อมีอันตรายที่จะใกล้มาถึง ไม่ใช่เรื่องที่ผ่านไปแล้วหรือเป็นเพียงการคาดการณ์ว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นในอนาคต
- เป็นการกระทำที่สมควรเเก่เหตุ ถึงจะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย คำว่าสมควรแก่เหตุในที่นี้หมายความว่า ถ้าเหตุไม่รุนแรงก็ต้องป้องกันตัวเองด้วยความไม่รุนแรง เช่น หากมีคนเดินเข้ามาจะต่อยหน้า การใช้ปืนยิงสวนออกไปถือเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการตัดสินว่าเกินกว่าเหตุหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล ซึ่งมักจะทำการพิจารณาควบคู่ไปกับมาตรา 69
การป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ ที่ได้รับการลดโทษ
กฎหมายได้กำหนดขอบเขตว่าการกระทำลักษณะใดถือว่าไม่เกินกว่าเหตุ เพื่อให้ศาลได้ใช้ประกอบการพิจารณาผ่านการระบุใน ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 69 ซึ่งมีเนื้อความดังนี้
“ถ้าผู้กระทำได้กระทำไปเกินสมควรแก่เหตุ หรือเกินกว่ากรณีแห่งความจำเป็นหรือเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ แต่ถ้าการกระทำนั้นเกิดขึ้นจากความตื่นเต้น ความ ตกใจหรือความกลัว ศาลจะไม่ลงโทษผู้กระทำก็ได้”
จากข้อความข้างต้น เราสามารถนำใจความสำคัญและประโยคในข้อกฏหมายมาตีความเพื่อให้เห็นว่าการป้องกันตัวเกินกว่าเหตุในรูปแบบใดถึงจะได้รับการลดโทษบ้าง
- การกระทำที่เกินกว่าเหตุเพราะความจำเป็น ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ จะเห็นได้ว่าถ้าเหตุเกิดจากความจำเป็นหรือเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนเอง ศาลสามารถใช้ประกอบการพิจารณาเพื่อลดโทษให้ได้ โดยในจุดนี้ให้ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์และสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
- หากการป้องกันเกิดขึ้นในตอนที่ตื่นเต้น ตกใจ หรือความกลัว ศาลจะไม่ลงโทษผู้กระทำก็ได้ แสดงให้เห็นว่าแม้การกระทำจะเกินเลยไปบ้าง แต่หากมีที่มาจากความตกใจกลัวในสถานการณ์คับขัน ศาลอาจใช้ดุลพินิจลดหย่อนโทษให้ได้ แต่ยังคงถือว่ามีความผิดอยู่ดี
การใช้อาวุธในการป้องกันตัว
การป้องกันตัวถ้ามีการพกอาวุธเข้ามาเกี่ยวข้อง มักจะทำให้ความรุนแรงมีเพิ่มมากขึ้นตามชนิดของอาวุธที่ใช้ กฎหมายไทยจึงมีบทบัญญัติที่ชัดเจนในเรื่องการควบคุมการพกพาอาวุธในที่สาธารณะ โดยแยกความรุนแรงระหว่างอาวุธทั่วไปและอาวุธปืน การพกพาอาวุธทั่วไป เช่น มีด มีโทษปรับสถานเดียว แต่สำหรับอาวุธปืนนั้น มีบทลงโทษที่รุนแรงถึงขั้นจำคุก แม้ปืนจะมีการจดทะเบียนถูกต้อง แต่ก็เป็นเพียงสิทธิ์ในการครอบครองปืนไว้ในเคหสถานเท่านั้น ไม่ใช่ใบอนุญาตให้พกพาไปในที่สาธารณะได้ ดังนั้นในกรณีนี้ศาลจะแยกการพิจารณาออกเป็น 2 ความผิด ได้แก่ "ความผิดฐานพกพาอาวุธ" และ "ความผิดที่เกิดจากการใช้อาวุธป้องกันตัว" ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำคนละส่วนกัน ศาลจึงจะทำการพิจารณาแยกจากกัน ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ระบุไว้ว่า
“ผู้ใดพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร หรือพาไปในชุมนุมชนที่ได้จัดให้มีขึ้นเพื่อนมัสการ การรื่นเริงหรือการอื่นใด ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท และให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ริบอาวุธนั้น”
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น จะขอทำการยกตัวอย่างจากเหตุการณ์สมมุติ ดังนี้
ทะเลาะเดือด พกมีดแทงคู่กรณี อ้างเหตุการป้องกันตัว
สถานการณ์สมมุติ: เกิดเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างนาย ก. และ นาย ข. โดยเริ่มจากการมีปากเสียงกันในสถานบันเทิง เกิดการท้าทายกันไปมา ก่อนลุกลามไปถึงขั้นชกต่อยกัน นาย ก. เป็นฝ่ายถูกหาเรื่องก่อน แต่ในระหว่าการชกต่อยเป็นฝ่ายเสียเปรียบ จึงชักมีดพกในกระเป๋ากางเกงมาแทงคู่กรณีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส
คาดการณ์การพิจารณาของศาล: ก่อนอื่นศาลจะพิจารณาให้นาย ก. มีความผิดฐานพาอาวุธ(มีด) โดยไม่มีเหตุสมควรในการพกพา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 หลังจากนั้นศาลจะพิจารณาความผิดฐานทำร้ายร่างกาย แม้นาย ก. จะถูกหาเรื่องก่อน และอ้างว่าเหตุเกิดจากการป้องกันตัว แต่ถ้าหากพฤติการณ์บ่งชี้ว่าเป็นการสมัครใจวิวาท สิทธิ์ที่ใช้อ้างในการป้องกันตัวจะหมดไปทันที ทำให้การใช้มีดแทงอาจถูกมองว่าเป็นการตอบโต้กันในระหว่างการทะเลาะวิวาท ไม่ใช่การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย และอาจจะโดนข้อหาก่อความวุ่นวายในที่สาธารณะตามมาได้
แต่ถ้าคู่กรณีเข้ามาผลักอกเพียงอย่างเดียว ยังไม่ได้เกิดการทะเลาะวิวาทหรือการชกต่อย แต่นาย ก. กลับใช้มีดที่พกไว้แทงสวนไปจนคู่กรณีได้รับบาดเจ็บ ศาลอาจมองว่าเป็นการป้องกัน "เกินสมควรแก่เหตุ" ถือว่ามีความผิด แต่ศาลอาจลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 69 แต่ยังคงมีความผิดฐานพกพาอาวุธ และทำร้ายร่างกาย
หมายเหตุ: การพิจารณาเป็นเพียงการคาดการณ์จากข้อกฎหมาย ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงได้จริง
บทสรุปการป้องกันตัว และข้อควรระวัง
จากข้อกฎหมายที่นำมายกตัวอย่างจะเห็นได้ว่า เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นคำว่าการป้องกันตัวไม่ได้เป็นเหตุผลหลักเพียงข้อเดียวที่ศาลนำมาพิจารณา ยังคงมีองค์ประกอบอื่น ๆ ที่ล้วนแล้วแต่มีส่วนสำคัญในการพิจารณาความผิดของศาล เช่น เหตุในการป้องกันตัวสมควรแก่เหตุหรือไม่ เป็นการป้องกันตัวที่เกิดจากอาการตกใจหรือเปล่า หรือถ้ามีการพกพาอาวุธก็จะมีความผิดฐานพกพาอาวุธตามมาทันที จะเห็นได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ได้ถูกพิจารณาผ่านคำว่าการป้องกันตัวเพียงคำเดียว แม้กฎหมายจะให้สิทธิ์เราในการป้องกันตัว แต่เราเองก็ต้องมีความเข้าใจขอบเขตของกฎหมายที่ดีพอ เพื่อป้องกันตนเองไม่ให้กลายเป็นผู้กระทำผิดเสียเอง
ติดตามบทความที่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายที่น่าสนใจจากเครือ Thai PBS
- ประจานคนอื่นบนโลกออนไลน์ มีความผิดทางกฎหมายแค่ไหน ?
- เข้าใจกฎหมาย "การบันทึกเสียงสนทนา" มีความผิดหรือไม่ ?
- ทำผิดกฎหมาย "พื้นที่สาธารณะ" ต้องถูกดำเนินคดีอย่างไร ?
อ้างอิง
- ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68, 69, 371
- ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน
- ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB)