ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

เข้าใจให้ตรงกัน “กินยาดักไข้” ไม่สามารถป้องกันเราจาก “ไข้” ได้


วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

จิราภพ ทวีสูงส่ง

แชร์

เข้าใจให้ตรงกัน “กินยาดักไข้” ไม่สามารถป้องกันเราจาก “ไข้” ได้

https://www.thaipbs.or.th/now/content/3017

เข้าใจให้ตรงกัน “กินยาดักไข้” ไม่สามารถป้องกันเราจาก “ไข้” ได้

ปวดหัว ตัวร้อน อาการคลับคล้ายจะเป็น “ไข้” ดังนั้น ต้อง “กินยาดักไข้” เช่น ยาพาราเซตามอล (paracetamol) หรือยาลดไข้อื่น ๆ ไว้ก่อน ซึ่งความเชื่อนี้ยังมีอยู่ในบ้านเรา ด้วยเหตุนี้ Thai PBS และ Thai PBS Sci & Tech จึงขอพาไปหาคำตอบ ทำไม ? “กินยาดักไข้” จึงไม่สามารถป้องกันไม่ให้เราเป็นไข้ได้กัน

รู้จักอาการ “ไข้”

นศภ.ชุติกาญจน์ หล้าวงษา ภายใต้คำแนะนำของ อาจารย์ ภญ.กชรัตน์ ชีวพฤกษ์ ให้ความรู้ว่า “ไข้” คือ การที่ร่างกายมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติที่ประมาณ 37+0.5 องศาเซลเซียส สามารถแบ่งระดับความรุนแรงของไข้ได้ดังนี้

ไข้ต่ำ: 37.3-38.0 องศาเซลเซียส
ไข้ปานกลาง: 38.1-39.0 องศาเซลเซียส
ไข้สูง: 39.1-41 องศาเซลเซียส
ไข้สูงมาก: สูงกว่า 41 องศาเซลเซียส

การวัดไข้สามารถทำได้หลายตำแหน่ง เช่น ใต้รักแร้ (อุณหภูมิต่ำกว่าการวัดที่ปากเล็กน้อย) หรือในหู (อุณหภูมิใกล้เคียงกับวัดที่ปาก) สาเหตุของอาการไข้ที่พบบ่อยที่สุด คือ การติดเชื้อหรือการอักเสบ การรักษาจึงเน้นที่การรักษาสาเหตุของไข้ และให้ยาลดไข้ เช่น ยาพาราเซตามอล

พาราเซตามอล

พาราเซตามอล หรืออีกชื่อหนึ่ง คือ อะเซตามิโนเฟน (acetaminophen) เป็นยาสามัญประจำบ้านที่สามารถหาซื้อได้ง่าย มีข้อบ่งใช้ในการลดไข้และบรรเทาปวด เช่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง โดยตัวยาออกฤทธิ์ในการรักษาสูงสุดที่ 30 - 60 นาทีหลังรับประทาน และถูกทำให้หมดฤทธิ์ที่ตับ

ขนาดยาพาราเซตามอลที่แนะนำ

ขนาดยาที่แนะนำให้ใช้ลดไข้และรักษาอาการปวด คือ 10-15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม รับประทานทุก 4-6 ชั่วโมง ดังนั้นขนาดยาที่ได้รับจะขึ้นกับน้ำหนักตัวของผู้ป่วยแต่ละราย

ขนาดและวิธีใช้ยาพาราเซตามอล สำหรับยาเม็ด

ยาเม็ด 325 มิลลิกรัม

น้ำหนักตัว 22-33 กิโลกรัม : 1 เม็ด แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง

น้ำหนักตัว 33-44 กิโลกรัม : 1 เม็ดครึ่ง แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง

น้ำหนักตัวมากกว่า 44 กิโลกรัม : 2 เม็ด แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง

ยาเม็ด 500 มิลลิกรัม

น้ำหนักตัว 34-50 กิโลกรัม : 1 เม็ด แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง

น้ำหนักตัว 50-67 กิโลกรัม : 1 เม็ดครึ่ง แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง

น้ำหนักตัวมากกว่า 67 กิโลกรัม : 2 เม็ด แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง

ยาเม็ด 650 มิลลิกรัม ชนิดเม็ดออกฤทธิ์นาน

น้ำหนักตัวมากกว่า 43.3 กิโลกรัม : 2 เม็ด แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 8 ชั่วโมง

ยาน้ำ

ไม่จำกัดน้ำหนักตัว สำหรับผู้ที่ไม่สามารถรับประทานยาเม็ดได้ เช่น เด็ก หรือผู้ที่มีปัญหาการกลืน Fดยจะขึ้นกับน้ำหนักตัวและความเข้มข้นของยาน้ำ โดยคำนวณจากขนาดยา 10-15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ยาน้ำมีหลายรูปแบบและความเข้มข้น เช่น

สูตรเข้มข้นน้อย: 120, 160, 250 มิลลิกรัม/1 ช้อนชาหรือ 5 มิลลิลิตร
สูตรเข้มข้นมาก (drop): 80, 100 มิลลิกรัม/1 มิลลิลิตร

กลไกการออกฤทธิ์ของพาราเซตามอล

ปัจจุบันยังไม่ทราบกลไกที่ชัดเจน แต่คาดว่าพาราเซตามอลออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างสารซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับอาการปวด คือ พรอสตาแกลนดิน (prostaglandin) และลดการหลั่งสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ (pro-inflammatory mediators) ทำให้รักษาอาการปวดได้ โดยพาราเซตามอลลดไข้ด้วยการยับยั้งการสร้างพรอสตาแกลนดิน และยับยั้งความผิดปกติของศูนย์ควบคุมอุณหภูมิในสมอง ส่งผลให้อุณหภูมิร่างกายลดลง ทั้งนี้ “พาราเซตามอลมีข้อบ่งใช้ในการรักษาอาการปวดและไข้ ไม่ใช่การป้องกัน ดังนั้นการรับประทานยาก่อนมีไข้ จึงไม่สามารถป้องกันให้ไม่มีไข้ได้”

ความปลอดภัยในการใช้พาราเซตามอล

พาราเซตามอลเป็นยาที่มีความปลอดภัยในการใช้สูง เมื่อรับประทานในขนาดยาปกติ คือ 500 มิลลิกรัม ไม่เกินวันละ 8 เม็ด (ไม่ควรรับตัวยามากกว่า 4,000 มิลลิกรัม/วัน) หรือรับประทานพาราเซตามอลติดต่อกันไม่เกิน 5 วัน ถึงแม้พาราเซตามอลเป็นยาที่มีความปลอดภัยในการใช้สูง แต่เมื่อรับประทานพาราเซตามอล ยาจะถูกทำให้หมดฤทธิ์ที่ตับ ทำให้ตับทำงานมากขึ้น ในกรณีรับประทานเกินขนาด (มากกว่า 4,000 มิลลิกรัม/วัน) หรือได้รับยาต่อเนื่องในปริมาณสูง จะส่งผลให้เกิดพิษต่อตับอย่างรุนแรง จนอาจทำให้ความสามารถในการทำงานของตับลดลง ดังนั้นไม่ควรรับประทานทานยาเกินขนาด รวมถึงผู้ป่วยโรคตับควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา และหลีกเลี่ยงการรับประทานยากับแอลกอฮอล์

ยาลดไข้อื่น

นอกจากพาราเซตามอล ยังมียากลุ่มอื่นที่เป็นทางเลือกในการรักษาอาการไข้ได้ เช่น ยาแก้อักเสบไอบูโพรเฟน และสมุนไพรฟ้าทะลายโจร

ยาแก้อักเสบไอบูโพรเฟน

ไอบูโพรเฟน (ibuprofen) เป็นยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (nonsteroidal anti-inflammatory drugs, NSAIDs) ใช้รักษาอาการปวด ลดไข้ และแก้อักเสบ แต่ไม่สามารถใช้ป้องกันไข้ได้เช่นกัน อีกทั้งยังมีผลข้างเคียงมาก โดยเฉพาะต่อทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน อาหารไม่ย่อย แสบยอดอก ปวดท้อง ท้องเสีย เป็นต้น อีกทั้งยังระวังการใช้ในผู้ที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหืด หรือผู้ที่มีการทำงานของตับหรือไตบกพร่อง ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา

สมุนไพรฟ้าทะลายโจร

ฟ้าทะลายโจรมีสารสำคัญที่มีชื่อว่าแอนโดรกราโฟไลด์ (andrographolide) มีสรรพคุณทางการแพทย์แผนไทย ใช้บรรเทาอาการไข้หวัด แก้ไอและเจ็บคอ แต่หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้แขนขามีอาการชาหรืออ่อนแรง อีกทั้งยังทำให้เกิดอาการผิดปกติของทางเดินอาหาร เช่น ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ เบื่ออาหาร วิงเวียนศีรษะ ใจสั่น และอาจเกิดลมพิษได้ ดังนั้นไม่แนะนำให้ซื้อรับประทานเพื่อป้องกันไข้เช่นกัน

วิธีป้องกันไม่ให้มีไข้

เมื่อเจ็บป่วยหรือมีไข้อาจทำให้เสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายและสุขภาพจิต ดังนั้นการป้องกันตนเองไม่ให้เจ็บป่วย จะช่วยประหยัดทั้งเงินและเวลา โดยมีหลักที่สามารถปฏิบัติตามได้ง่าย ๆ ดังนี้

1. มีพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ดี เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารครบ 5 หมู่

2. หมั่นล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารหรือหลังเข้าห้องน้ำ

3. หลีกเลี่ยงพื้นที่แออัดหรือใกล้ชิดผู้ที่มีอาการป่วย กรณีอยู่ในพื้นที่แออัด แนะนำให้สวมหน้ากากอนามัย

4. ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำปี

หากผู้ป่วยรู้สึกเหมือนมีไข้ ให้ดูแลสุขภาพในเบื้องต้น เช่น ดื่มน้ำและพักผ่อนให้เพียงพอ หากรู้สึกไม่สบายจริง ๆ หรือมีความกังวลใจ แนะนำให้พบแพทย์หรือปรึกษาเภสัชกรเพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง

สรุป

จากความเชื่อยอดนิยมที่ว่า หากรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ให้กินยาดักไว้ก่อน โดยคิดว่ายาจะสามารถป้องกันไข้หวัดได้ โดยเฉพาะการกินยาพาราเซตามอลหรือยาลดไข้ชนิดอื่น ๆ ซึ่งในความจริงนั้น ยาเหล่านี้มีฤทธิ์บรรเทาอาการปวด ลดไข้ แต่ไม่ได้มีสรรพคุณในการป้องกันอาการป่วย

ดังนั้น การกินยาดักไข้ตอนที่ยังไม่มีอาการจึงไม่สามารถช่วยป้องกันการเป็นไข้ได้ อีกทั้งยาทุกชนิดมีผลข้างเคียง และอาจเกิดอันตรายหากกินติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน  โดยเฉพาะยาพาราเซตามอล ขนาด 500 มิลลิกรัม หากกินเกินวันละ 8 เม็ด ติดต่อกันเกิน 5 วัน จะส่งผลให้ตับทำงานหนัก จนเซลล์ตับถูกทำลาย และมีโอกาสเกิดภาวะตับอักเสบได้ในที่สุด ทั้งนี้หากมีข้อสงสัยในการใช้ยา แนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร


อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS  

แหล่งข้อมูลอ้างอิง : NIH, นศภ.ชุติกาญจน์ หล้าวงษา, โรงพยาบาลสมิติเวช

“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech

แท็กที่เกี่ยวข้อง

กินยาดักไข้กินยาดักไข้เป็นไข้ยาลดไข้ไข้ยาพาราเซตามอลยาพาราพาราเซตามอลParacetamolปวดหัวตัวร้อนวิทย์น่ารู้วิทยาศาสตร์วิทยาศาสตร์น่ารู้Thai PBS Sci And Tech Thai PBS Sci & Tech Science
จิราภพ ทวีสูงส่ง

ผู้เขียน: จิราภพ ทวีสูงส่ง

"เซบา บาสตี้" เจ้าหน้าที่เนื้อหาดิจิทัล สำนักสื่อดิจิทัล ไทยพีบีเอส คนทำงานด้านการเขียน : Specialist Contents / Journalist / Writer / Creative Copywriter / Proofreader Lover (ติดต่อ jiraphobT@thaipbs.or.th)

บทความ NOW แนะนำ

ข่าวล่าสุด