การติดเชื้อในโรงพยาบาล หรือที่เรียกว่า Healthcare-associated Infection (HAI) คือภาวะติดเชื้อที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาล ต่างจากการติดเชื้อที่ผู้ป่วยมีอยู่แล้วก่อนมาโรงพยาบาล ภาวะ HAI เป็นปัญหาสำคัญระดับโลก เพราะส่งผลต่อผู้ป่วยโดยตรงทั้งในแง่ของอัตราการตาย การพักรักษาในโรงพยาบาลที่นานขึ้น ตลอดจนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังส่งผลต่อระบบสุขภาพโดยรวม เพราะเป็นแหล่งบ่มเพาะของเชื้อดื้อยาที่แพร่กระจายจนยากต่อการควบคุม
เชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของ HAI มีความรุนแรงมากกว่าการติดเชื้อในชุมชนด้วยเหตุผลสำคัญประการหนึ่งคือ การดื้อยาปฏิชีวนะ (Antibiotic Resistance) ซึ่งหมายถึงภาวะที่เชื้อแบคทีเรียไม่ตอบสนองต่อยาฆ่าเชื้อที่เคยใช้ได้ผลในอดีต โดยเฉพาะในโรงพยาบาลที่มีการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างต่อเนื่องและในปริมาณสูง เชื้อบางชนิดจึงค่อย ๆ ถูกคัดเลือกและวิวัฒนาการให้ทนต่อยาที่ใช้ ทำให้การรักษาในอนาคตมีความยากลำบากยิ่งขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ MRSA (Methicillin-resistant Staphylococcus aureus) ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่เคยอ่อนไหวต่อยากลุ่มเพนิซิลลิน (Penicillin) แต่หลังจากถูกใช้ในวงกว้างมานานหลายสิบปี เชื้อได้ปรับตัวให้ต้านทานยากลุ่มนี้จนต้องใช้ยากลุ่มใหม่ ๆ ที่มีราคาแพงกว่าและมีผลข้างเคียงสูงขึ้นแทน
ในประเทศไทย เชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยาปฏิชีวนะในโรงพยาบาลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในโรงพยาบาลระดับตติยภูมิและศูนย์กลาง ตัวอย่างเช่น เชื้อ Acinetobacter baumannii ที่ดื้อต่อยากลุ่ม Carbapenem อย่างแพร่หลาย หรือที่เรียกกันว่า CRAB (Carbapenem-resistant A. baumannii) ซึ่งพบได้ในหอผู้ป่วยวิกฤต (ICU) และผู้ป่วยที่ใส่เครื่องช่วยหายใจเป็นระยะเวลานาน นอกจากนี้ยังมีเชื้อ Klebsiella pneumoniae ที่กลายพันธุ์จนดื้อยากลุ่ม Extended-spectrum Beta-lactamase (ESBL) และ Carbapenem เช่นเดียวกัน ทำให้ต้องใช้ยากลุ่ม Polymyxin หรือ Colistin ซึ่งเป็นยาที่มีพิษต่อไตสูงและจำเป็นต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
หนึ่งในการติดเชื้อที่พบได้บ่อยที่สุดในโรงพยาบาลคือการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะจากสายสวน ซึ่งมักเกิดในผู้ป่วยสูงอายุหรือผู้ที่นอนติดเตียง เชื้อแบคทีเรียจากผิวหนังหรือสิ่งแวดล้อมอาจเดินทางเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะผ่านทางสายสวน ส่งผลให้เกิดอาการปัสสาวะแสบขัด มีไข้ หรือแม้แต่การติดเชื้อในกระแสเลือดในกรณีรุนแรง เชื้อที่พบได้บ่อยคือ Escherichia coli และ Enterococcus ซึ่งบางสายพันธุ์ดื้อยา Vancomycin กลายเป็น VRE (Vancomycin-resistant Enterococci) ซึ่งดื้อทั้งยาปฏิชีวนะกลุ่ม Aminoglycosides และกลุ่ม Glycopeptide
อีกภาวะหนึ่งที่น่ากังวลคือการติดเชื้อในกระแสเลือดจากการใช้สายสวนหลอดเลือดดำส่วนกลาง (Central Line) โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่อยู่ในหอผู้ป่วยวิกฤต เชื้อแบคทีเรียสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านปลายสายสวนที่ไม่ปลอดเชื้อ เมื่อเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว เชื้อจะกระจายไปยังอวัยวะต่าง ๆ ทำให้เกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่มีอัตราการเสียชีวิตสูง เชื้อที่พบในกรณีนี้ได้แก่ S. aureus โดยเฉพาะสายพันธุ์ MRSA ซึ่งดื้อต่อยาปฏิชีวนะหลายชนิด ทำให้ต้องใช้ยาพิเศษ เช่น Vancomycin หรือ Linezolid ซึ่งมีราคาแพงและอาจมีผลข้างเคียงต่อไตและไขกระดูก
ในผู้ป่วยที่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ การติดเชื้อที่ปอด หรือที่เรียกว่า Ventilator-associated Pneumonia (VAP) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยและมีอันตราย เชื้อแบคทีเรียสามารถสะสมอยู่ที่ท่อช่วยหายใจและเข้าสู่ปอดได้โดยตรง เชื้อที่เกี่ยวข้องมักเป็นเชื้อแกรมลบที่ดื้อต่อยาหลายชนิด เช่น Pseudomonas aeruginosa และ A. baumannii ซึ่งสายพันธุ์ในโรงพยาบาลอาจดื้อต่อยากลุ่ม Carbapenem ซึ่งเคยเป็นทางเลือกสุดท้ายในการรักษา ในหลายกรณีแพทย์จำเป็นต้องใช้ยาอย่าง Colistin ซึ่งมีผลข้างเคียงรุนแรง เช่น ทำให้ไตวายเฉียบพลัน หรืออาจกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลาง
แม้แต่การผ่าตัดทั่วไปก็อาจนำไปสู่การติดเชื้อแผลผ่าตัดได้เช่นกัน โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เชื้อแบคทีเรียจากผิวหนัง เช่น S. aureus หรือจากลำไส้ เช่น K. pneumoniae อาจเข้าไปยังแผลผ่าตัดและทำให้เกิดการอักเสบ บวม แดง หรือมีหนอง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจลุกลามจนต้องเปิดแผลใหม่ หรือถึงขั้นติดเชื้อในกระแสเลือด ในกรณีที่เชื้อดื้อยารุนแรง อาจต้องรักษาด้วยยาหลายชนิดร่วมกันภายใต้การควบคุมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ
การติดเชื้อจาก Clostridioides difficile เป็นอีกปัญหาที่เกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างต่อเนื่อง โดยยาฆ่าเชื้อเหล่านี้จะไปทำลายแบคทีเรียดีในลำไส้ ส่งผลให้เชื้อ C. difficile ซึ่งปกติอยู่ในร่างกายโดยไม่ก่อโรค สามารถเจริญเติบโตจนเกิดอาการท้องเสียรุนแรง บางรายอาจมีภาวะลำไส้อักเสบเป็นแผลที่เรียกว่า Pseudomembranous Colitis ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้ลำไส้ทะลุและเสียชีวิตได้
ปัญหาสำคัญที่สุดของ HAI ไม่ใช่แค่การติดเชื้อ แต่เป็นการติดเชื้อที่ดื้อต่อยาที่มีอยู่ในปัจจุบัน เชื้อเหล่านี้ผ่านการกลายพันธุ์และคัดเลือกในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยยาปฏิชีวนะอย่างต่อเนื่อง ทำให้เชื้อที่อยู่รอดมักจะเป็นเชื้อที่สามารถต้านทานยาหลายชนิดพร้อมกัน ซึ่งเรียกว่า Multidrug-resistant Organisms (MDROs) และบางครั้งอาจดื้อต่อยาทุกชนิดที่มีใช้ในโรงพยาบาล ส่งผลให้แพทย์ต้องพึ่งพายาเฉพาะทางที่มีพิษสูง หรือไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการรักษาประคับประคอง
การป้องกัน HAI จำเป็นต้องอาศัยการดูแลร่วมกันของทั้งบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วย การล้างมือให้ถูกต้องและสม่ำเสมอเป็นหัวใจสำคัญในการลดการแพร่กระจายของเชื้อ การใช้เครื่องมือปลอดเชื้ออย่างเคร่งครัด การจำกัดการใช้ยาปฏิชีวนะให้เหมาะสม และการเฝ้าระวังผู้ป่วยที่ติดเชื้อดื้อยาอย่างเป็นระบบ ล้วนมีบทบาทสำคัญในการควบคุมปัญหานี้
การติดเชื้อในโรงพยาบาลจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของจุลชีพเท่านั้น แต่เป็นภาพสะท้อนของระบบสุขภาพทั้งระบบ ตั้งแต่การใช้ยาของแพทย์ การควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อของพยาบาล ไปจนถึงความตระหนักของผู้ป่วยและครอบครัว
เรียบเรียงโดย
โชติทิวัตถ์ จิตต์ประสงค์
Prince of Wales Hospital
Department of Orthopaedics & Traumatology
Faculty of Medicine, The Chinese University of Hong Kong
อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech