ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ประเด็นความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา กลายเป็นประเด็นฮ็อตฮิตติดชาร์ตในสังคมไม่เว้นแต่ละวัน
เริ่มต้นจากข้อพิพาทเรื่องเส้นแบ่งดินแดน บริเวณช่องอานม้า-ปราสาทตาเมือนธม, ปมคลิปเสียงต่อรองทางการทูตแบบ ‘นอกรอบ’ ระหว่าง “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ผู้นำประเทศกัมพูชา ก่อนจะนำไปสู่การซุ่มโจมตีด้วยยุทธวิธีทางการทหาร และการสร้างสงครามข้อมูลข่าวสาร เพื่อแย่งชิงความสนใจจากสื่อทั่วโลก
ด้วยประการหลังนี่เอง ทำให้ชื่อของ "พล.ท. มาลี โสเจียตา" ถูกพูดถึงในสังคมวงกว้าง ในฐานะโฆษกหญิงแห่งกระทรวงกลาโหม ที่เป็นทั้งกระบอกเสียงของกองทัพ และผู้กำหนดทิศทางการสื่อสารของรัฐบาลกัมพูชา
จนกระทั่ง โลกออนไลน์มีการเผยแพร่ชุดภาพของ พล.ท. มาลี กับสมเด็จฮุน เซน ในลักษณะที่อาจถูกตีความไปในเชิง ‘ชู้สาว’ ได้ ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง
ทั้งคำกล่าวหาว่าเธอเป็นเมียน้อย, ได้ตำแหน่งทางการเมือง เพราะใช้เต้าไต่ และสารพัดคำด่ามากมาย ที่สุดท้ายหนีไม่พ้นการกดให้เพศหญิงเป็นได้เพียงเครื่องบำบัดความใคร่ของเพศชาย ทำให้ตัวผู้เขียนเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า
ทำไมผู้หญิงที่อยู่ระดับนำ จึงต้องถูก ‘ชกใต้เข็มขัด’ ด้วยการนำเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศมา ‘ดิสเครดิต’ กัน มากกว่าการวิจารณ์ความสามารถบนพื้นฐานอาชีพ ?
และเมื่อไหร่ก็ตามที่มีใครสักคน โพล่งขึ้นมากลางวงว่า ‘ไม่เห็นด้วย’ กับสิ่งที่มาลีกำลังเผชิญ คนเหล่านั้นจะถูกมองว่าเป็นคนที่ไม่รักชาติ ไม่รักประเทศชาติบ้านเกิดเมืองนอนไปเสียอย่างนั้น
Thai PBS ชวนส่องค่านิยมปิตาธิปไตยบนสังเวียนการเมืองการปกครอง ผ่านข่าวฉาวสะเทือนวงการของ "พล.ท. มาลี โสเจียตา" ผู้นำหญิงแถวหน้าชาวกัมพูชา ที่ไม่มีคนไทยคนไหนไม่รู้จักในเวลานี้
"มาลี โสเจียตา" โฆษกกลาโหมกัมพูชา คีย์แมนคนสำคัญในวิกฤติชายแดนไทย-กัมพูชา
พล.ท. มาลี โสเจียตา (Mali Sochieta) ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นรองเลขาธิการรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม และทำหน้าที่โฆษกหลักในการสื่อสารนโยบายของกองทัพกัมพูชาไปยังสาธารณชน ผ่านสื่อภายในและต่างประเทศ
แต่กว่าจะได้ป็นพลโท มาลีเริ่มต้นชีวิตราชการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 โดยสอบบรรจุเข้าทำงานในกระทรวงกิจการสตรีของกัมพูชา ก่อนจะได้รับตำแหน่งสำคัญในระดับนโยบาย ทั้งในด้านกิจกรรมเยาวชน พรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) และคณะกรรมาธิการด้านสิทธิสตรีของประเทศ
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของมาลี เกิดขึ้นในเดือน เม.ย. 2566 หลังได้รับพระราชทานยศ “พลโท” จากพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี กษัตริย์แห่งกัมพูชา อาจเรียกได้ว่าเธอเป็น ‘ผู้หญิงไม่กี่คน’ ในกองทัพกัมพูชา ที่มียศเป็นพลโท
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ‘ผู้หญิงระดับประเทศ’ มีข่าวฉาวเรื่องเพศ
ถ้าจะให้พูดกันตามตรง สิ่งที่มาลีเจอ ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรในวงการการเมืองและการปกครอง แต่เป็นสิ่งที่นักการเมืองหญิงหลายคน ทั้งในไทยและต่างประเทศเคยเจอมาก่อน
ยกตัวอย่างเช่น มารี ยาสุดะ (Mari Yasuda) นักการเมืองหญิงญี่ปุ่นจากพรรค Constitutional Democratic Party of Japan ซึ่งถูกผู้สื่อข่าวนิรนามคุกคามทางเพศ โดยให้เหตุผลว่า ในฐานะที่เป็นผู้หญิง เธอไม่ควรลงสมัครรับเลือกตั้งในรัฐสภาตั้งแต่แรก นอกจากนี้ยังถูกกล่าวหาว่า เธอลงทุนนอนกับผู้ชายที่มีอำนาจ เพื่อความก้าวหน้าทางการเมือง
หรือแม้แต่ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยเอง ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่า ‘การดิสเครดิต’ นักการเมืองหญิงที่ดีที่สุด คือการคุดขุ้ยเรื่องฉาวใต้สะดือมาเล่าให้สนุกปาก เห็นได้จากวาทกรรม “ว.5 โฟร์ซีซั่นส์” กับวลี “เอาอยู่” ในตำนาน
“ห้องนี้เอากันอยู่หรือแขกก็เอากันอยู่ อ๊ะๆๆๆๆ และปูโฟร์ซีซั่นส์ ปู ว.5 ปูเอาอยู่ เยอะมากๆ นะฮะ คำกล่าวขานท่านนายกเนี่ย”
คำกล่าวด้านบน ถูกกล่าวถึงในจดหมายเปิดผนึกของนายศิริโชค โสภา อดีต สส. พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งโพสต์ลงเฟซบุ๊กส่วนตัว เพื่อขอโทษ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หลังศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาสั่งจำคุกในคดีหมิ่นประมาท
จุดเริ่มต้นของวาทกรรม “ว.5 โฟร์ซีซั่นส์” เกิดจากการที่ 3 อดีต สส. พรรคประชาธิปัตย์ ได้แก่ นายศิริโชค โสภา, นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต และนายเทพไท เสนพงศ์ ได้นำเหตุการณ์ที่ น.ส. ยิ่งลักษณ์ พักการประชุมสภาฯ ไปพบปะ ‘นักธุรกิจ’ ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2555 มา ‘ขยายความ’ ในรายการ “สายล่อฟ้า” ซึ่งออกอากาศผ่านสถานีดาวเทียม ช่องบลูสกาย
แม้จะไม่มีหลักฐานบ่งชี้อย่างชัดเจน แต่ก็ทำให้ชื่อเสียงของอดีตนายกฯ คนดังกล่าว เสียหายไปแล้ว และเผลอๆ อาจจะเสียหายมากกว่าการถูกล้อเรื่องพูดผิดพูดถูกต่อหน้าสาธารณชนเสียอีก
‘ความรุนแรงทางเพศ’ ที่ผู้นำระดับประเทศต้องเจอ
การที่ ‘ผู้นำหญิง’ ถูกโจมตีด้วยเรื่องเซ็กส์ (ซึ่งจะเป็นความจริง หรือไม่เป็นความจริงนั้น ก็ไม่มีใครรู้) ถือเป็นการถูกกระทำด้วยความรุนแรงในอีกรูปแบบหนึ่ง ที่เรียกว่า Gender-based violence หรือความรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับฐานคิดเรื่องเพศสภาพหรือเพศวิถี
Thai PBS ได้พูดคุยกับ รศ.ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ นักวิชาการคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในประเด็น ‘ความรุนแรงทางเพศ’ ที่ผู้นำหญิงระดับประเทศต้องเจอ ซึ่งเธอกล่าวว่า ความรุนแรงทางเพศที่ว่านั้น มีความหมาย ‘กว้าง’ กว่าการนำเรื่อง ‘ใต้สะดือ’ มาดิสเครดิต หรือลดทอนคุณค่า
“เวลาที่คุณชมนักการเมืองหญิง หรือผู้นำหญิง คุณพูดถึงแต่เรื่องที่ว่าเขาสวยยังไง เขาแต่งตัวยังไง ถ้าไปลงลึกในรายละเอียดจริงๆ มันแปลว่าคุณไม่ได้เห็นอะไรอย่างอื่นของคนคนนั้นเลยนะ นอกจากรูปลักษณ์ภายนอก”
ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมา ผู้หญิงทุกคนมักถูกตัดสินคุณค่าจากความสวยงามทางกายภาพของพวกเธออยู่แล้ว ไม่ว่าจะขยับตัวไปทำอะไร จนความสวยงามถูกเชื่อมโยงให้เป็นองค์ประกอบหลักของความเป็นหญิง ก็คงไม่แปลกอะไรนัก หากการโต้เถียงเกี่ยวกับผู้นำหญิง นักการเมืองหรือนักกิจกรรมที่มีเพศสภาพเป็นหญิง จะวนเวียนอยู่กับเรื่องความสวยหรือไม่สวย
และการพยายามแปะป้ายตีตราผู้นำหญิงที่ตนเองไม่ชอบหน้าว่า “ขี้เหร่” หรือ “น่าเกลียด” เพื่อลดทอนคุณค่าและความน่าเชื่อถือของพวกเธอ จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ (ถึงไม่น่าจะเข้าใจก็เถอะ)
ในขณะที่ผู้นำชายหรือนักการเมืองชายจะถูกตัดสินจากรูปลักษณ์และการแต่งกายในลักษณะเดียวกันนี้น้อยกว่า หรืออาจจะถูกพูดถึงเหมือนกัน แต่พูดถึงใน ‘มิติ’ ที่ไม่ลึกเท่านักการเมืองหญิง
“มีคนมากมายที่ตัดสินโดยทันทีว่า มีเพศสภาพเป็นชายปุ๊บ แปลว่าฉลาดกว่า แข็งแรงกว่า สามารถตัดสินใจอะไรได้เฉียบขาดกว่า ในขณะเดียวกัน คุณก็มองว่าคนที่มีเพศสภาพเป็นหญิงน่ะ เจ้าอารมณ์ หรือใส่ใจแต่เรื่องความสวยงาม อย่างนี้เขาเรียกว่า ‘เพศสภาพ’ มันบังตาผู้คนนะ” ชลิดาภรณ์กล่าว
ซึ่งชลิดาภรณ์ยืนยันว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับพลโทหญิงมาลีนั้น ไม่ได้เป็นอะไรที่แปลกประหลาด แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับนักการเมือง, ผู้นำประเทศ หรือนักกิจกรรมที่มีเพศสภาพเป็นหญิงอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
โลกของการเมืองในระบอบ “ปิตาธิปไตย”
ดร.ชเนตตี ทินนาม นักวิชาการด้านเพศภาวะและเพศวิถี อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้อธิบายว่า ‘โลกทัศน์’ ของระบอบปิตาธิปไตย ซึ่งฝังตัวอย่างเข้มข้นในโลกของการเมืองนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยที่สถาปนาพื้นที่สาธารณะด้านการเมืองการปกครอง ก่อนที่จะมีฐานคิดเรื่องเพศ (Gender) ขึ้นมา
พื้นที่ส่วนใหญ่ในโลกอนุญาตให้ ‘ผู้ชาย’ เข้ามาจัดการและเป็นผู้นำตั้งแต่แรก จนระบบของเพศ หรือระบบของสังคมวัฒนธรรม เข้ามาจัดวางบทบาทหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ที่มีความตายตัว โดยแยกแยะตามเพศกำเนิด หรือเพศสรีระที่เป็นหญิง-ชาย
ถ้าคุณเกิดมามีเพศกำเนิดเป็นหญิง ระบบสังคมวัฒนธรรมจะกำหนดบทบาทของคุณให้เป็นผู้ตามหรือรับฟัง มีหน้าที่ดูแลงานบ้าน เลี้ยงลูก หุงหาอาหาร ไม่ได้มีหน้าที่เป็นผู้นำในทางเศรษฐกิจ หรือผู้นำทางการเมือง - ความคิดแบบนี้ฝังหัวคนในสังคมมานาน จนทำให้โลกของเศรษฐกิจ โลกของการเมืองการปกครอง ถูกบริหารจัดการโดยผู้ชายตามระบบเพศ (Gender) จนกลายเป็นความชอบธรรมอย่างหนึ่งในโลกปิตาธิปไตย ที่จะมองว่าบทบาท ‘ผู้นำ’ ไม่ใช่พื้นที่ของผู้หญิง
“สิ่งที่ทำให้ผู้หญิงถูกตัดสินว่าเป็นเพศที่ดูอ่อนแอ ไม่มีเหตุผล เป็นเพศที่ใช้แต่อารมณ์ ร้องไห้เก่ง เพราะระบบเพศและสังคมวัฒนธรรมวางให้เป็นแบบนั้น มันไม่ได้เป็นการจัดวางตามธรรมชาติ แต่ประกอบขึ้นมาจากสังคมที่มองว่าผู้หญิงอ่อนแอ” ชเนตตีกล่าว
ด้วยเหตุนี้ ผู้หญิงจึงถูกปิดกั้นไม่ให้เข้ามามีบทบาทในโลกสาธารณะหรือโลกทางการเมือง และทำให้ผู้ชายถูกมองว่าเป็นผู้นำที่แข็งแรง เป็นเพศที่มีเหตุผลมากกว่า จนสังคมคุ้นชินว่า ‘การเมืองมันเป็นโลกของผู้ชาย’ ก่อนจะเบ่งบานอย่างเข้มข้นในทุกหนทุกแห่ง
มากกว่าชายเป็นใหญ่ คือ ‘ชาตินิยม’ เป็นใหญ่
แต่สิ่งที่ทำให้เคสของ พล.ท. มาลี แตกต่างจากผู้นำหญิงคนอื่นๆ คือ เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่มีการสู้รบระหว่างประเทศ โดยมี ‘อคติเรื่องเชื้อชาติ’ เป็นประเด็นสำคัญในการพุ่งโจมตี หรือสร้างสตอรี่ความอื้อฉาวทางเพศของฝ่ายตรงข้าม
พูดง่ายๆ คือ มีเปลือกของความเป็น ‘ชาตินิยม’ คอยปกคลุม ‘ความเป็นเพศหญิง’ อยู่อีกชั้นหนึ่ง
ชั้นแรกคือ ชั้นของความเป็นชาตินิยม เพราะความสัมพันธ์ของไทย-กัมพูชา ในตอนนี้อยู่ในระหว่างการเป็น ‘คู่กรณี’ กับ ‘คู่ขัดแย้ง’ ในทางสงคราม ทำให้สังคมไทยในช่วงเวลานี้ มีการโหมกระพือ ‘ความรักชาติ’ หรือชาตินิยมสูงมาก และพร้อมจะทำทุกวิถีทางให้ฝ่ายตรงข้ามถูกดิสเครดิต
และชั้นที่สอง คือ ชั้นของเพศสภาพและความเป็นหญิง ที่มีลักษณะของความเป็นรอง ในวัฒนธรรมทั่วโลก บนพื้นฐานความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมระหว่างเพศหญิงและเพศชาย ซึ่งมีมาตรฐานความถูกต้อง เรื่องพฤติกรรมทางเพศและความสัมพันธ์ทางเพศที่ ‘ต่างระดับ’ กันอยู่ แม้ว่าจะถูกคาดหวังให้ยึดมั่นในเรื่อง ‘ผัวเดียวเมียเดียว’ เหมือนกัน
“เวลาที่คุณดูรูปพวกนั้น แล้วคุณบอกว่าพล.ท. มาลี เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศแบบนอกกรอบ หรือเรื่องเพศที่ไม่ถูกต้อง มองเธอเป็นเมียน้อย ทำไมถึงไปมีความสัมพันธ์ซ้อนกับอังเคิล แต่ไม่เห็นมีใครตั้งคำถามกับอังเคิลในกรณีเดียวกันเลยว่ะ (หัวเราะ)” ชลิดาภรณ์ตั้งคำถาม
“คุณก็รู้สึกสะใจใช่ไหม เพราะว่าคุณก็ไม่รู้จะทำยังไงกับคุณพี่มาลี ซึ่งออกมาพูดทุกเช้าๆ ในสิ่งที่เราก็รู้สึกว่ามันเป็นการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือบางเรื่องก็ดูเหมือนจะไม่มีฐานความเป็นจริงเลยแม้แต่น้อย แล้วคุณก็ทิ่มแทงเธอด้วยเรื่องนี้นี่แหละ ได้ผลมาก”
ดังนั้น เมื่อเครื่องมือที่ชื่อว่า ‘การเหยียดเชื้อชาติ’ และเครื่องมือ ‘การเหยียดเพศ’ เข้ามาทำงานประสานกัน มันจึงกลายเป็นความชอบธรรมที่จะสร้างข้อมูลเท็จ เพื่อดิสเครดิต โดยอยู่บนพื้นฐานของความรุนแรงทางเพศ
เอาเข้าจริง การเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ในลักษณะที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ ก็สะท้อนให้เห็นว่า สังคมไทยยังไม่ได้มีความก้าวหน้าในเรื่องสิทธิมนุษยชน และการเคารพในความแตกต่างของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องเชื้อชาติ สีผิว ถิ่นกำเนิด หรือเพศสภาพ
อย่างไรก็ตาม ดร.ชเนตตี เชื่อว่า จากการสร้างข่าวปลอมเพื่อดิสเครดิต อาจจะสร้างผลกระทบให้เกิดขึ้นกับมนุษย์ที่มีความแตกต่างกันในเรื่องเชื้อชาติ รวมถึงสถานภาพของผู้หญิง ซึ่งควรจะมีพื้นที่และมีศักดิ์ศรีอย่างเท่าเทียมในโลกสาธารณะ, โลกทางการเมือง หรือโลกทางการทหาร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ผู้ชายมีอิทธิพลมาก่อนหน้านี้เป็นเวลาหลายศตวรรษ
“เคสของ พล.ท. มาลี ตอกย้ำให้เราเห็นว่า ไม่มีความปลอดภัยที่แท้จริง สำหรับความแตกต่างในความเป็นมนุษย์ ซึ่งมีความแตกต่างทางเชื้อชาติ และไม่มีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิงในพื้นที่สาธารณะ”
“คนมองไม่เห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับ พล.ท. มาลี คือความรุนแรงบนฐานเพศสภาพในรูปแบบหนึ่ง คนจะมองแค่ว่า ‘ผู้หญิงคนนี้คือคนกัมพูชา’ แต่จะมองไม่เห็นว่า นี่คือความรุนแรงที่ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเผชิญอยู่ ดังนั้น การสร้างข่าวปลอม เพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้าม จึงเป็นความชอบธรรมอย่างหนึ่ง ความคิดแบบนี้อันตรายมาก” ชเนตตีกล่าวไว้อย่างนั้น
คิดขุดรากถอนโคน ‘ชายเป็นใหญ่’ ใจต้องเปิดกว้าง
เมื่อถูกถามว่า “จะแก้ไขค่านิยมชายเป็นใหญ่ และการเหยียดเชื้อชาติ ที่เกิดขึ้นในสถานการณ์แบบนี้อย่างไร?” ในฐานะที่เป็นนักสื่อสารมวลชนและนักรัฐศาสตร์ ทั้งสองคนตอบในมุมมองที่ต่างกัน
ดร.ชเนตตี มองว่า สื่อมวลชนต้องติดตั้ง ‘เลนส์เรื่องเพศ’ หรือ Gender Lens ซึ่งเป็นเลนส์ที่สามารถตระหนักรู้ต่ออคติในระดับชั้นต่างๆ ที่เข้ามาแทรกแซง จนห่างไกลจากความเป็นกลาง และความเที่ยงธรรม ซึ่งเป็นหลักการที่สำคัญ และเป็นอุดมการณ์ในวิชาชีพของนักสื่อสารมวลชน
“ถ้าเราไม่อยากจะกลับไปเป็นสื่อยุคเก่า ที่ตกเป็นเครื่องมือของพรรคการเมืองหรือกองทัพในยุคเก่า เราต้องมีเลนส์ที่สามารถแยกแยะ ไอ้การโฆษณาชวนเชื่อ ทั้งจากผู้ใช้โซเชียลมีเดีย จากแหล่งข้อมูลอินฟลูเอนเซอร์ ต้องคัดกรองข่าวสารจนมั่นใจว่า สิ่งที่จะรายงานออกไปนั้น มันมีความเที่ยงธรรมจริงๆ”
ในขณะที่ รศ.ดร.ชลิดาภรณ์ มองว่า “สื่อต้องเปิดโปงให้เห็น” ว่าในสังคมมีค่านิยมชายเป็นใหญ่ และการเหยียดเชื้อชาติในกรณีนี้จริงๆ ซึ่งอาจส่งต่อเป็นความรุนแรงที่มีพื้นฐานมาจากเพศและเพศสภาพในอนาคตได้
“แน่นอนว่าคนที่เปิด หรือคนที่ชี้ประเด็นแบบนี้ขึ้นมา เขาก็จะถูกด่าว่าไม่รักชาติแน่นอน แต่มันก็ต้องตั้งคำถามต่อไปว่า ในเวลาที่คุณสู้รบกัน คุณหยิบอาวุธอะไรขึ้นมาใช้ก็ได้อย่างงั้นเหรอ”
ซึ่งอาวุธที่เราหยิบขึ้นมาใช้ในการทำลายล้างกันในหลายๆ ครั้ง มันอาจจะไม่ได้ทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายทางกาย แต่อาจจะทำให้คนตายในทางสังคมด้วยการถูกประณาม
เพราะสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการที่เราปล่อยให้ความอคติและการเหยียดเชื้อชาติ ที่โหมกระพือรุนแรงมากนั้นทำให้เราขาดสติ และไม่ทันยั้งคิดว่า สิ่งเหล่านี้อาจจะย้อนกลับมาทำร้ายสังคมในระยะยาว - จากความรุนแรงที่เราร่วมกัน ‘ผลิตซ้ำ’ ผ่านข้อมูลเท็จนั่นเอง