เสียงอดีตสร้างจินตนาการ ดนตรีที่ปัตตานี เมื่อวงไทยซิมโฟนีออร์เคสตราหยิบเอกลักษณ์มลายูมาบรรเลงใหม่
เมื่อเสียงไวโอลินจากยุโรปพบกับรำมะนาแห่งเปอร์เซีย และฆ้องหุ่ยจากอุษาคเนย์พบกับลูแซกจากอเมริกาใต้ ได้เดินทางมาบรรจบพบกันที่ปัตตานี ลิเวอร์พูลแห่งเอเชียอาคเนย์
ณ ดินแดนที่เคยเป็นศูนย์กลางการค้าโลก นั่นคือจุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์ทางดนตรีที่ไม่เหมือนใคร ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นที่ ปัตตานี เมืองท่าแห่งประวัติศาสตร์ที่เสียงดนตรีจากทั่วทุกมุมโลกมาบรรจบและหลอมรวมจนกลายเป็นเอกลักษณ์ดนตรีอันงดงามที่ยังคงดำรงอยู่จนถึงทุกวันนี้
วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2568 ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จะเป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ดนตรีไทยอีกครั้ง เมื่อวงไทยซิมโฟนีออร์เคสตรา นำเสนอคอนเสิร์ต ดนตรีที่ปัตตานี: เล่าเรื่องปัตตานีผ่านเสียงดนตรี (Lagu Pattani)" ภายใต้แนวคิด ความแตกต่าง ความหลากหลาย และอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
ปัตตานี จุดบรรจบของดนตรีทั่วมุมโลก สร้างสรรค์ ผสมผสาน กลมกลืน และไพเราะ
ย้อนกลับไปในอดีต ปัตตานีไม่ใช่แค่เมืองท่าธรรมดา แต่เป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศที่สำคัญยิ่งในสมัยอาณาจักรศรีวิชัย เป็นจุดพักเรือสำเภาที่แล่นมาจากจีน ญี่ปุ่น อินเดีย เปอร์เซีย อาหรับ และต่อมาคือชาวโปรตุเกส สเปน ดัตช์ อังกฤษ และฝรั่งเศส
เมื่อผู้คนเดินทางมาพบกัน วัฒนธรรมก็เดินทางมาด้วย และดนตรีก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่เดินทางข้ามทวีป ข้ามมหาสมุทร มารวมตัวกันที่ดินแดนแห่งนี้ ไวโอลินและแมนโดลินจากยุโรป แอคคอร์เดียน(หีบเพลงชัก) จากโปรตุเกส มารากัส(ลูกแซก) จากอเมริกาใต้ รำมะนาจากเปอร์เซีย และ ฆ้องหุ่ยจากดินแดนสุวรรณภูมิ ล้วนมาผสมผสานกันในรูปแบบดนตรีที่เรียกว่า "รองเง็ง"*
“วงรองเง็ง" คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการสังวาสทางวัฒนธรรม เมื่อเสียงร้องเป็นภาษามลายู ทำนองเป็นยุโรปและเปอร์เซีย เครื่องดนตรีมาจากทั่วทุกมุมโลก แต่กลับกลมกลืนลงตัวอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นเสียงที่สะท้อนถึง “ความเป็นนานาชาติ" ที่ฝังลึกอยู่ในรากเหง้าของปัตตานี
เมื่อเสียงปัตตานีก้องไปถึงราชสำนักสยาม
สิ่งที่น่าทึ่งยิ่งกว่านั้นคือ เสียงดนตรีจากปัตตานีไม่ได้หยุดอยู่แค่ท้องถิ่น แต่ได้เดินทางไปถึงหัวใจของราชสำนักสยาม ผ่านบุคคลสำคัญคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ดนตรีไทย นั่นคือ “ครูมีแขก" (พระประดิษฐ์ไพเราะ)
ครูมีแขกจากปัตตานีถูกกวาดต้อนมาในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ แต่ด้วยความสามารถอันยอดเยี่ยมทางดนตรี ท่านได้กลายเป็นพระอาจารย์ถวายการสอน ซอสามสาย (ซอสายฟ้าฟาด) ให้แก่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2
“ซอระบับ" หรือซอสามสายที่ครูมีแขกนำมาจากปัตตานี ได้กลายเป็นเครื่องดนตรีสำคัญในวงมโหรีและปี่พาทย์ของราชสำนัก และยังเป็นผู้รวบรวมเพลงไทยที่เหลือรอดจากสงครามหลังกรุงศรีอยุธยาแตก ทำให้เพลงไทยสามารถสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ครูมีแขกจึงเป็นเหมือน “สะพานเชื่อมวัฒนธรรม" ที่ทำให้เสียงปัตตานีและเสียงสยามผสานกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว และเป็นต้นธารของดนตรีไทยในยุครัตนโกสินทร์
เพลงมลายูยังมีชีวิตอยู่
ในงานคอนเสิร์ตครั้งนี้ วงไทยซิมโฟนีออร์เคสตร้าได้คัดสรรบทเพลงสำคัญจากปัตตานีมาบรรเลงใหม่ในรูปแบบออร์เคสตร้า โดยเรียบเรียงเสียงให้ทันสมัย แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของเสียงมลายูไว้อย่างครบถ้วน เพลงเหล่านี้ล้วนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ยังคงมีชีวิตอยู่ในชุมชน
เพลงที่จะได้ยินในงานนี้ประกอบด้วย:
1. บุหงาปัตตานี บุหงาตันหยง บุหลันลันตู : เพลงที่ขับร้องโดย วงปล่อยแก่ยะลา เพลงที่พูดถึงความงามของดอกไม้และสาวงามแห่งเมืองลันตู
2. บุหลันลอยเลื่อน : เพลงที่รัชกาลที่ 2 ทรงจำทำนองจากพระสุบิน เพลงสรรเสริญพระจันทร์ที่เคยใช้เป็นเพลงเกียรติยศรับเสด็จ
3. นกเขามะราปี : ทำนองจากเพลงรองเง็งมาเลเซีย ที่ครูมนตรี ตราโมทแต่งเป็นระบำ สะท้อนวัฒนธรรมการประชันนกเขาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
4. แกแนะอูแด บุหงารำไป : เพลงระบำกุ้งและเพลงดอกไม้หอม เป็นเพลงครูของวงรองเง็ง
5. ซัมเป็ง มาศมาเราะห์ โยเก็ตรองเง็ง : เพลงที่พูดถึงทองคำบริสุทธิ์และการเต้นระบำ สะท้อนถึงความมั่งคั่งของปัตตานีในอดีต
6. เมาะอินังชวา เมาะอินังลามอ : เพลงของสาวงามชาวชวา เพลงครูที่มักบรรเลงก่อนเพลงอื่นๆ
7. ลาฆูดูวอ : บทเพลงพื้นบ้านติดหูที่ร่วมแสดงโดย วง Four Eyes Woodwind Ensemble วงยอดฝีมือเยาวชนดนตรีจากภาคใต้
8-12. รวมถึงเพลงอื่นๆ อาทิ บูหรงกากา ราซาซายังเง จินตาราซัง เลนัง ตารีกีปัส ปูโจ๊ะปีซัง อาเนาะดีดี้ และเพลงเด็กปัตตานี (5 เพลง) ขับร้องโดย อาจารย์ธัญพร นิกาจิ ครูสอนเด็กที่ใส่เนื้อร้องใหม่จากทำนองรองเง็ง หลากหลายบทเพลงที่เพลิดเพลินและเพราะพริ้ง
ศิลปินชาวบ้านคือผู้พิทักษ์มรดกทางดนตรีของมนุษยชาติ
นอกจากนักดนตรีมืออาชีพจากวงไทยซิมโฟนีออร์เคสตราแล้ว งานนี้ยังมีการยกย่องศิลปินชาวบ้านที่อุทิศชีวิตเพื่อรักษาและสืบทอดเพลงมลายู โดยเฉพาะ ครูขาเดร์ แวเด็ง (ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2536) ช่างทองที่กลายเป็นนักไวโอลินรองเง็งผู้ยิ่งใหญ่ และ ครูแบเย็ง (เซ็ง อาบู) นักแมนโดลินที่รักษาเพลงรองเง็ง 300 เพลงไว้ได้จนถึงปัจจุบัน
เสียงของครูเหล่านี้ถูกบันทึกไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 และนำมาเรียบเรียงใหม่ในงานนี้ เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จักและภาคภูมิใจในมรดกที่บรรพบุรุษทิ้งไว้
วงไทยซิมโฟนีออร์เคสตรา สะพานเชื่อมอดีตกับปัจจุบัน
วงไทยซิมโฟนีออร์เคสตรา ภายใต้การดำเนินงานของ มูลนิธิอาจารย์สุกรี เจริญสุข นำโดย รองศาสตราจารย์ ดร.สุกรี เจริญสุข ไม่ใช่แค่วงดนตรีที่เล่นเพลงคลาสสิกตะวันตก แต่คือ “สะพานเชื่อม" ระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ระหว่างเพลงพื้นบ้านกับเพลงคลาสสิก ระหว่างท้องถิ่นกับสากล
การนำเพลงพื้นบ้านมาเรียบเรียงในรูปแบบออร์เคสตราไม่ใช่การ "ยกระดับ" เพลงพื้นบ้านให้ "สูงขึ้น" แต่คือการ "ขยายพื้นที่" ให้เพลงเหล่านี้ได้เดินทางไปยังผู้คนที่กว้างขึ้น ให้คนที่ไม่เคยได้ยินเสียงรองเง็งมาก่อน ได้มีโอกาสสัมผัสความไพเราะที่ซ่อนอยู่ในทำนองมลายู
เสียงอดีตสร้างจินตนาการ การแสดงดรีที่ความหมายที่ลึกซึ้งกว่าดนตรี
การจัดงานครั้งนี้เป็นการสื่อสารข้อความที่ลึกซึ้งว่า “ความแตกต่างไม่ใช่อุปสรรค แต่คือความงดงาม"
เมื่อเครื่องดนตรีจากยุโรป เอเชีย และตะวันออกกลางมาบรรเลงร่วมกัน ไม่มีเสียงใดดังกว่ากัน ไม่มีวัฒนธรรมใดสำคัญกว่ากัน ทุกเสียงมีค่า ทุกเสียงมีความหมาย และเมื่อรวมกันแล้ว กลับกลายเป็นความไพเราะที่มีเอกลักษณ์เ
นี่คือบทเรียนจากเสียงแห่งประวัติศาสตร์ของปัตตานี เมืองที่ผู้คนต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา ต่างภาษา สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน และสร้างสรรค์สิ่งงดงามร่วมกันได้
ศิลปะบนเวทีสีสันจากภาพจิตรกรรมประกอบเพลงรองแง็ง
ความพิเศษอีกอย่างของงานนี้คือ การมี ดร.สุชาติ วงษ์ทอง ศิลปินนานาชาติ มาสร้างสรรค์ภาพจิตรกรรมประกอบบทเพลงระหว่างการแสดง เป็นการผสมผสานระหว่าง เสียงที่เห็นได้และภาพที่ได้ยิน
การวาดภาพตามเสียงดนตรีแบบเรียลไทม์เป็นศิลปะที่ต้องอาศัยความเข้าใจในทั้งดนตรีและจิตรกรรม ดร.สุชาติได้ร่วมงานกับวงไทยซิมโฟนีออร์เคสตร้ามาหลายครั้ง ทำให้เกิดประสบการณ์ใหม่สำหรับผู้ชมที่ได้สัมผัสทั้งเสียงและสีไปพร้อมกัน
พื้นที่ เยาวชน อนาคต ดนตรีมลายู
งานนี้ยังเปิดโอกาสให้ วงโรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดปัตตานี วงชนะเลิศระดับภาคใต้ จากการประลองยอดฝีมือเยาวชนดนตรี ประจำปี พ.ศ. 2568 ได้ร่วมแสดงกับวงไทยซิมโฟนีออร์เคสตรา เป็นการส่งเสริมพัฒนาฝีมือนักดนตรีเยาวชน สร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ได้สืบทอดวัฒนธรรมดนตรีท้องถิ่นสู่ระดับโลกต่อไป
การที่เด็กนักเรียนจากปัตตานีได้ยืนบนเวทีเดียวกับนักดนตรีมืออาชีพ ได้บรรเลงเพลงบ้านเกิดของตัวเองในรูปแบบที่ทันสมัย เป็นประสบการณ์ที่จะฝังลึกในใจและเป็นแรงผลักดันให้พวกเขาภาคภูมิใจในรากเหง้าของตนเอง
เสียงอดีตที่สร้างจินตนาการ
โครงการ “เสียงอดีต สร้างจินตนาการ" โดยมูลนิธิอาจารย์สุกรี เจริญสุข และไทยพีบีเอส ที่กำลังร่วมกันขับเคลื่อนและดำเนินการอยู่นั้น ไม่ใช่การ "เก็บรักษา" เพลงเก่าไว้ในพิพิธภัณฑ์ แต่คือการ “ทำให้เพลงเก่ามีชีวิต" อีกครั้งในรูปแบบใหม่ที่คนรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงและซาบซึ้งได้ในความสุนทรียโสต
เมื่อเราได้ยินเสียงไวโอลินบรรเลงทำนอง "บุหงาปัตตานี" หรือเสียงเชลโลสีทำนอง "บุหลันลอยเลื่อน" เราไม่ได้แค่ได้ยินเสียงดนตรี แต่เราได้ “เดินทางข้ามเวลา" กลับไปสู่ยุคที่เรือสำเภาจากจีนและโปรตุเกสแล่นเข้าจอดที่ท่าเรือปัตตานี กลับไปสู่ยุคที่วังยะหริ่งเต็มไปด้วยเสียงดนตรี กลับไปสู่รากเหง้าของความเป็นเรา
การจัดงานที่หอประชุมมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ก็มีความหมายในตัวเอง เพราะมหาวิทยาลัยคือพื้นที่แห่งการเรียนรู้ แห่งการค้นคว้า และแห่งการสืบทอดองค์ความรู้ การที่เสียงดนตรีมลายูดังก้องในหอประชุมแห่งนี้ ก็เหมือนเป็นการส่งสัญญาณว่า ดนตรีพื้นบ้านมีคุณค่าทางวิชาการ มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และสมควรได้รับการศึกษาอย่างจริงจัง
ดนตรีคือบ้านของจิตใจ
เสียงดนตรีที่ปัตตานีคือเสียงที่เตือนเราว่า เราเคยอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ เราเคยสร้างสรรค์สิ่งงดงามร่วมกันได้ และเราสามารถทำได้อีกครั้ง ถ้าเราเปิดใจรับฟังกัน เหมือนกับที่เครื่องดนตรีแต่ละชิ้นรับฟังกันและกลมกลืนกันในวงออร์เคสตรา
คอนเสิร์ต "ดนตรีที่ปัตตานี เล่าเรื่องปัตตานีผ่านเสียงดนตรี (Lagu Pattani)” ทำการแสดงเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2568 เวลา 13.00-15.00 น. ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
มาร่วมสัมผัสประสบการณ์ดนตรีที่จะเปลี่ยนมุมมองของคุณต่อปัตตานี ต่อดนตรีมลายู และต่อความหมายของ "การอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข"
เพราะบางครั้ง คำตอบของปัญหาสังคมไม่ได้อยู่ในห้องประชุม แต่อยู่ในเสียงดนตรีที่กลมกลืนกัน
ชวนมาติดตาม รายการ เสียงอดีตสร้างจินตนาการ ตอน เล่าเรื่องปัตตานีผ่านเสียงดนตรี
ชมอีกครั้งได้ที่ https://www.thaipbs.or.th/program/PowerOfMusic