กลายเป็นประเด็นร้อนจากเหตุจอดขวางทางรถฉุกเฉิน จนมีผู้ป่วยเสียชีวิต
Thai PBS ชวนดูมารยาทและการใช้ถนนร่วมกับ “รถฉุกเฉิน” ควรทำอย่างไร ? และจากกรณีที่เกิดความเสียหายถึงชีวิตมีความผิดอย่างไรบ้าง ?
การใช้เส้นทางร่วมกับ “ฉุกเฉิน” ต้องทำอย่างไร ?
ทุกวินาทีของการปฏิบัติงานมีความสำคัญถึงชีวิต การปฏิบัติงานของรถฉุกเฉินจึงจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่น ๆ โดยรถฉุกเฉินตามนิยามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.จรารถทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 4 ได้ให้นิยาย “รถฉุกเฉิน” หมายถึง รถพยาบาลฉุกเฉิน รวมถึงรถดับเพลิง หรือรถอื่นที่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีให้ใช้สัญญาณแสงวับวาบได้อีกด้วย
ทั้งนี้ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ได้มีการออกคำแนะนำเป็นวิธีการให้ทาง “รถฉุกเฉิน” มีแนวทางปฏิบัติในการให้ทาง ดังนี้
1. ตั้งสติรถความเร็ว เมื่อประชาชนเห็นสัญญาณไฟและได้ยินเสียงสัญญาณไซเรนก็มักจะตกใจและทำอะไรไม่ถูก ดังนั้นก่อนอื่นผู้ขับขี่ควรตั้งสติ
2. พยายามมองกระจกหลังเพื่อกะระยะของรถพยาบาลที่วิ่งมา
3. ค่อย ๆ เบี่ยงชิดซ้าย เมื่อพิจารณาปริมาณรถทั้งซ้ายและขวาที่อยู่ใกล้แล้วพบว่าไม่มีอันตรายและเราสามารถเบี่ยงชิดซ้ายได้ ให้ผู้ขับขี่ลดความเร็วรถและเบี่ยงซ้ายเพื่อหลีกทางให้รถพยาบาลทันที
4. เบี่ยงหลบไม่ได้ให้ชะรอรถ หากไม่สามารถหลีกทางได้เพราะสภาพรถที่หนาแน่นและมีอันตรายก็ให้หยุดชะลอรถให้นิ่งเพื่อให้รถพยาบาลฉุกเฉินหาทางวิ่งผ่านเราไปให้ได้
5. ห้ามขับตามรถฉุกเฉิน เมื่อรถพยาบาลฉุกเฉินวิ่งผ่านไปแล้วห้ามขับตามเด็ดขาดในระยะ 50 เมตร
6. หากหลบไม่ได้ให้กดไฟเลี้ยวให้สัญญาณแล้วหลบชิดฝั่งหนึ่งเพื่อให้ทาง กรณีรถติดและรถพยาบาลฉุกเฉินอยู่ด้านหลังพอดีให้พิจารณาว่าควรชิดซ้ายหรือชิดขวาดี ถ้าไม่มีใครหลีกทางให้ ให้ผู้ขับขี่เลือกว่าจะหลบทางไหนและเปิดไฟเลี้ยว เพื่อให้สัญญาณให้รถพยาบาลฉุกเฉิน ได้แซงผ่านไปได้สะดวก
การขวางทางรถฉุกเฉินนั้นถือเป็นมีความผิด ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 76 เรื่องสิทธิและหน้าที่ของผู้ใช้รถใช้ถนน เดินเท้า ต่อรถพยาบาลจะต้องหลบ และหลีกให้พ้นผิวจราจรทางด้านซ้ายทันทีเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณไซเรนหรือเห็นไฟวับวาบ ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามจะต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500 บาท
ความผิดเมื่อขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของรถฉุกเฉินจนมีผู้เสียชีวิต
จากกรณีที่เกิดเป็นข่าว เมื่อมีเหตุการณ์ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ หรือขัดขวางเส้นทางของรถฉุกเฉิน จนทำให้เกิดการสูญเสีย ในหลักการกฎหมายเข้าข่ายความผิดได้หลายมาตรา อาทิ
1. ความผิดฐานกระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ระบุว่า ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. ความผิดฐานจงใจหรือประมาณ ทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน การขวางทางรถฉุกเฉินจนเกิดการชีวิตมีความผิดทางแพ่งที่ผู้เสียหายสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420 ระบุว่า ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
3. ความผิดฐานขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ เนื่องจากแพทย์หรือพยาบาลเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ การขัดขวางการทำงานของรถฉุกเฉินของโรงพยาบาลจึงมีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138 ที่ระบุว่า ผู้ใดต่อสู้ หรือขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (วรรคสอง) ถ้าการต่อสู้หรือขัดขวางนั้น ได้กระทำโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
รถฉุกเฉิน ต้องดำเนินการตามแนวทางเพื่อความปลอดภัยเสมอ
รถฉุกเฉินจำเป็นต้องมีการขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูงเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์เร่งด่วนที่เกิดขึ้น รถฉุกเฉินโดยเฉพาะรถพยาบาลฉุกเฉินจึงมีการกำหนดแนวปฏิบัติเพื่อความปลอดภัย ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุที่รถฉุกเฉินกับคนอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน มีแนวปฏิบัติโดยสรุปหัวข้อที่น่าสนใจดังนี้
1. ตัวรถมีความปลอดภัยสูงสุด โครงสร้างของรถมีความแข็งแรง อายุการใช้งานไม่เกิน 500,000 กิโลเมตร หรือไม่เกิน 7 ปี สีของรถต้องเป็นไปตามมาตรฐาน มีสีขาวติดแถบสะท้อนแสงตามมาตรฐานกำหนด พร้อมเอกสารตรวจสอบสภาพรถอย่างถูกต้อง
2. ระบบแสงไฟสัญญาณได้มาตรฐาน มีการติดตั้งระบบแสงไฟทั้งสำหรับการปฐมพยาบาล และการให้สัญญาณไฟวับวาบ มีแฟรชกระพริบทั้งด้านหน้าและด้านข้าง พร้อมไฟด้านท้าย
3. ระบบการสื่อสารถูกต้อง มีวิทยุสื่อสารตามความถี่เพื่อให้สื่อสารระหว่างศูนย์สื่อสารและโรงพยาบาล มีสัญญาณเสียงไซเรน และเครื่องขยายเสียง ทั้งนี้ระดับความดังต้องไม่เกินกำหนดที่ 85 เดซิเบล เอ (dB a) ซึ่งถือเป็นระดับเสียงที่เริ่มเป็นอันตรายต่อผู้ได้ยิน และมีระบบติดตามรถผ่านดาวเทียม
4. มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ มีการติดต่ออุปกรณ์ทางการแพทย์พร้อมการป้องกันการหลุดร่วงหล่น
5. ผู้ขับมีคุณสมบัติครบถ้วน ผู้ขับขี่ได้รับใบรับรองประกาศนียบัตรอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ขึ้นไป อายุไม่ต่ำกว่า 25 และไม่เกิน 55 ปีบริบูรณ์ ไม่เป็นโรคต้องห้าม เช่น โรคหัวใจ โรคลมชัก โรคต้อกระจก โรคพาร์กินสัน และโรคอื่น ๆ มีเอกสารแสดงการผ่านการอบรมหลักสูตรหนักงานขับรถพยาบาลฉุกเฉิน
6. ปฏิบัติตามมาตรการใช้รถฉุกเฉินที่ถูกต้อง รถฉุกเฉินปฏิบัติการได้ก็ต่อเมื่อได้รับคำสั่งจากศูนย์สั่งการหรือคำสั่งจากแพทย์เท่านั้น โดยการใช้สัญญาณไฟวับวาบจะเป็นไปตามความเร่งด่วนของผู้ป่วยตามเกณฑ์ และวิธีปฏิบัติการแพทย์ตามคำสั่งแพทย์ เมื่อประสานไปยังศูนย์รับแจ้งเหตุ
โดยระดับความเร่งด่วนมีแบ่งเป็น 3 ระดับได้แก่ ระดับวิกฤต ระดับเร่งด่วน ที่ต้องมีการเปิดสัญญาณไฟวับวาบ และระดับไม่รุนแรงให้รถฉุกเฉินขับรถตามกฎจราจรปกติ ทั้งนี้ การเปิดไฟวับวาบทำให้ผู้ขับรถฉุกเฉินมีสิทธิ์ในการปฏิบัติหน้าที่เช่น หยุดรถในจุดที่ห้ามจอด ขับรถเกินอัตราความเร็วที่กำหนดได้ ขับรถผ่านสัญญาณจราจรที่ให้หยุดได้ แต่ต้องลดความเร็วตามสมควร และไม่ต้องปฏิบัติตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้หรือข้อบังคับกราจราจรเกี่ยวกับช่องเดินรถ และทิศทางของการขับรถหรือการเลี้ยวรถที่กำหนดไว้
รถฉุกเฉินมีความเกี่ยวพันถึงช่วงเวลาที่เร่งด่วน การให้ความร่วมมือจากผู้ใช้รถใช้ถนนจึงเป็นสิ่งสำคัญให้สามารถช่วยชีวิตผู้คนในช่วงเวลาวิกฤตเอาไว้ได้
อ้างอิง
- สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.)
- สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม