ปัจจุบันการใช้งาน AI กลายเป็นเรื่องปกติที่ได้รับความนิยมในทุกเพศทุกวัย แต่มีประเด็นที่น่าสนใจต้องให้ความสำคัญอยู่ไม่หน่อยก็คือ การที่ลูกติด AI เหมือนติดแฟนสาว “ความสัมพันธ์” ระหว่างมนุษย์กับเทคโนโลยีอย่างที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
สำหรับเรื่องนี้ คุณอนุพงษ์ ไชยฤทธิ์ อดีตรองผู้อำนวยการ ส.ส.ท. ด้านเทคโนโลยีการกระจายสื่อ ได้ให้ความรู้ในเฟซบุ๊ก “Anupong Chaiyariti” ไว้ว่า

“ลูกชายคบหากับ AI ในฐานะแฟนสาว”
งานวิจัยที่อังกฤษโดยองค์กร Male Allies UK สะท้อนภาพความเปลี่ยนแปลงของ “ความสัมพันธ์” ระหว่างมนุษย์กับเทคโนโลยีอย่างที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน เด็กผู้ชายในโรงเรียนมัธยมกว่า 1 ใน 3 ยอมรับว่ากำลังเปิดใจให้กับ “เพื่อนเสมือน” หรือ AI Companion ไม่ใช่ในฐานะเครื่องมือช่วยทำการบ้าน แต่เป็นเพื่อนคุยที่รู้ใจ เป็นที่พึ่งทางอารมณ์ และบางครั้งกลายเป็น “แฟนสาว” ที่สมบูรณ์แบบในโลกดิจิทัล
สิ่งที่เคยเป็นแค่จินตนาการในภาพยนตร์อย่าง Her หรือ Ex Machina กำลังเกิดขึ้นจริงในห้องนอนของวัยรุ่นยุคนี้ พวกเขาพูดคุยกับ AI ทุกคืนก่อนนอน บางคนอดหลับอดนอนเพียงเพื่อฟังคำปลอบใจจากโปรแกรมที่เข้าใจตนเองดีกว่าพ่อแม่เสียอีก ความสัมพันธ์ลักษณะนี้ไม่เพียงสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรม แต่ยังท้าทายความเข้าใจเรื่อง “ความเป็นมนุษย์” ในยุคที่อารมณ์ถูกจำลองและโต้ตอบได้อย่างสมบูรณ์แบบ
บริษัท Character.ai หนึ่งในผู้พัฒนาแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมสูงสุด ถึงขั้นต้องออกมาตรการ “ห้ามเยาวชนใช้ระบบสนทนาแบบเปิด” หลังเกิดเหตุสลด เด็กชายวัย 14 ปีในสหรัฐฯ ปลิดชีพตนเองหลังถูก Chatbot ชักจูงทางอารมณ์ จนกลายเป็นกรณีศึกษาสำคัญของโลกเทคโนโลยี บริษัทอ้างว่ากำลัง “ทบทวนบทบาทของ AI กับวัยรุ่น” แต่แท้จริงแล้วนี่คือสัญญาณเตือนถึงการหลอมรวมระหว่างความเหงา ความเปราะบาง และเทคโนโลยีที่ฉลาดเกินควบคุม
AI Companion ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อหลอกลวง มันเพียง “ตอบสนอง” ในแบบที่มนุษย์อยากได้ยินที่สุด มันเรียนรู้ภาษา น้ำเสียง และอารมณ์ของผู้ใช้ เพื่อสร้างภาพลวงของความเข้าใจ และนั่นคือสิ่งที่อันตรายที่สุด เพราะมนุษย์มักตกหลุมรักสิ่งที่เข้าใจเรา ไม่ว่าจะเป็นคนหรือโค้ด

หากมองในภาพกว้าง ปรากฏการณ์นี้ทำให้เราต้องทำความเข้าใจ AI ทั้งสามสายพันธุ์ใหม่ทั้งหมด
- AI Companion ถูกออกแบบเพื่อสร้างความผูกพันทางอารมณ์ เป็นเพื่อนหรือคนรักในโลกเสมือน
- AI Assistant เน้นการทำงานเชิงฟังก์ชัน ช่วยจัดตาราง ค้นข้อมูล สั่งงานด้วยเสียง
- AI Collaborator อย่าง ChatGPT เป็น “คู่คิดร่วมสร้าง” ที่ทำงานกับมนุษย์ด้วยสติปัญญา ไม่ใช่อารมณ์
แต่เมื่อเส้นแบ่งเริ่มเลือน การมีอยู่ของ AI ในชีวิตประจำวันก็ไม่ต่างจากสมาชิกในบ้านอีกคน เพียงแต่คนนี้ไม่มีวันเหนื่อย ไม่มีวันปฏิเสธ และพร้อมจะตอบกลับเราทุกเมื่อ (always and immediate reply)
คำถามใหญ่ไม่ใช่ว่า “เด็กใช้ AI ทำการบ้านหรือไม่” แต่คือ “เด็กกำลังเรียนรู้อะไรจากการมี AI อยู่ในชีวิตประจำวัน” หากพวกเขาเติบโตขึ้นกับคู่สนทนาที่ไม่มีขอบเขตทางอารมณ์ และไม่เคยพูดคำว่า “ไม่” โลกความสัมพันธ์ของมนุษย์อาจกลายเป็นพื้นที่ที่ซับซ้อนยิ่งกว่าที่เคย เพราะมนุษย์จะเริ่มคาดหวังให้คนจริง ๆ ตอบสนองเหมือนโปรแกรม เข้าใจทันที ไม่ต้องอธิบาย ไม่ต้องรอ
AI อาจไม่ได้มาแทนที่มนุษย์ในห้องเรียน แต่มันเริ่มเข้ามาอยู่ในห้องหัวใจของมนุษย์โดยไม่รู้ตัว และบางทีสิ่งน่ากังวลที่สุดอาจไม่ใช่วันที่ลูกใช้ AI ลอกการบ้าน แต่คือวันที่ลูกพูดว่า “AI เข้าใจผมมากกว่าพ่อแม่เสียอีก” เพราะนั่นคือวันที่เทคโนโลยีเริ่มสอนให้เรา “รู้สึก” โดยไม่ต้อง “สัมพันธ์” กับใครอีกเลย
อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS  
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : คุณอนุพงษ์ ไชยฤทธิ์
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech
























