กำลังเป็นที่จับตา สำหรับภาวะน้ำท่วมหลายพื้นที่ของภาคกลางประเทศไทย ส่วนหนึ่งเกิดจากปริมาณน้ำเหนือที่มีปริมาณสูง ส่งผลให้หลาย ๆ เขื่อนกำลังประสบกับภาวะน้ำล้น โดยเฉพาะ “เขื่อนเจ้าพระยา” ที่มีส่วนต่อการปล่อยน้ำสู่หลายพื้นที่ในภาคกลาง
Thai PBS ชวนทำความรู้จักและเข้าใจ “เขื่อนเจ้าพระยา” ให้มากขึ้น ว่ามีความสำคัญ และมีนัยยะสำคัญต่อการระบายน้ำอย่างไร
ที่มาการสร้าง “เขื่อนเจ้าพระยา”
ประวัติการสร้างเขื่อนเจ้าพระยา ย้อนกลับไปยังปี พ.ศ. 2446 สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริให้กระทรวงเกษตราธิการพิจารณาวางโครงการชลประทานในลุ่มน้ำภาคกลาง โดยให้สร้างเขื่อนชลประทานขนาดใหญ่ในแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อทดน้ำเข้าทุ่งนา ทว่าต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 50 ล้านบาท เนื่องจากขณะนั้นต้องนำเงินงบประมาณไปใช้บริหารจัดการด้านอื่นก่อน จึงเหลือเพียงโครงการรักษาน้ำในที่ลุ่ม
ต่อมา ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดฝนแล้งถึงสองปีติดต่อกัน ทำให้การทำนาและการเพาะปลูกไม่ได้ผล กรมทดน้ำจึงได้ทูลเกล้าฯ ถวายรายงานโครงการสร้างเขื่อนเจ้าพระยา แต่ด้วยขณะนั้นรัฐบาลกำลังดำเนินการโครงการก่อสร้างเขื่อนป่าสักใต้และโครงการอื่น ๆ อยู่ก่อนแล้ว ประจวบกับเกิดเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 โครงการก่อสร้างเขื่อนเจ้าพระยาจึงต้องระงับไว้
ต่อมาในปี พ.ศ. 2491 กรมชลประทาน กระทรวงเกษตราธิการ ได้เสนอโครงการก่อสร้างเขื่อนเจ้าพระยาอีกครั้ง รัฐบาลพิจารณาเห็นชอบ โดยในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2493 ได้เจรจาขอกู้เงินจากธนาคารโลกเพื่อเป็นเงินทุนซื้อเครื่องจักรและเครื่องมือในการก่อสร้าง และใช้เงินงบประมาณของประเทศสำหรับเป็นค่าแรง ค่าวัสดุก่อสร้างที่ผลิตได้ภายในประเทศ งบประมาณโครงการรวม 1,160 ล้านบาท ทำให้เขื่อนเจ้าพระยาได้เริ่มก่อสร้างเมื่อต้นปี พ.ศ. 2495
เขื่อนเจ้าพระยาแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2499 โดยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีเปิดเขื่อน ณ ตำบลบางหลวง อำเภอสรรพายา จังหวัดชัยนาท เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500

คุณสมบัติของ “เขื่อนเจ้าพระยา”
เขื่อนเจ้าพระยาเป็นเขื่อนทดน้ำขนาดใหญ่ มีลักษณะเป็นเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็ก ยาว 237.50 เมตร สูง 16.5 เมตร ติดตั้งบานประตูเหล็กรูปโค้งสูง 7.50 เมตร มีช่องระบายให้น้ำไหลผ่านขนาดกว้าง 12.50 เมตร จำนวน 16 ช่อง เพื่อทดน้ำส่งให้พื้นที่ในเขตโครงการชลประทาน 17 จังหวัด คิดเป็นพื้นที่ 7,500, 000 ไร่ โดยเขื่อนเจ้าพระยาทำหน้าที่ระบายน้ำสู่คลองส่ง และคลองแยกต่าง ๆ ดังนี้
- คลองชัยนาท-ป่าสัก มีคลองซอยแยกส่งน้ำ 66 คลอง
- คลองชัยนาท-อยุธยา มีคลองซอยแยกส่งน้ำ 22 คลอง
- แม่น้ำน้อย มีคลองซอยแยกส่งน้ำ 162 คลอง
- คลองมะขามเฒ่าต่อกับแม่น้ำสุพรรณ มีคลองซอยแยกส่งน้ำ 70 คลอง
ภารกิจหน้าที่ของ “เขื่อนเจ้าพระยา”
เขื่อนเจ้าพระยา ทำหน้าที่ทดน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาให้มีระดับสูง แล้วใช้ระบบชลประทานส่งน้ำแจกจ่ายไปยังพื้นการเกษตร บริเวณทุ่งทั้งสองฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่จังหวัดชัยนาทลงมาถึงพื้นที่แถบชายทะเล
เขื่อนแห่งนี้จึงเป็นประโยชน์ด้านการชลประทาน การทดน้ำเพื่อการเกษตร โดยระบายน้ำจากแม่น้ำในภาคเหนือสู่ภาคกลางและอ่าวไทย ส่งน้ำไปในพื้นที่เพาะปลูกภาคกลาง และยังใช้ผลิตไฟฟ้าสำหรับจ่ายในจังหวัดอีกด้วย
นัยยะสำคัญการระบายน้ำของ “เขื่อนเจ้าพระยา”
เนื่องจากเป็นเขื่อนทดน้ำที่ทำหน้าที่ระบายน้ำเพื่อพื้นที่การเกษตรกว่า 17 จังหวัด ดังนั้น ในช่วงเวลาปกติ เขื่อนเจ้าพระยาจะทำการระบายน้ำที่ควบคุมได้เฉลี่ยวันละ 600-700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
ทว่าในช่วงฤดูฝนที่มีปริมาณฝนหนาแน่น โดยเฉพาะเดือนพฤศจิกายน 2568 ที่มีฝนตกหนักจากอิทธิพลของพายุ “คัลแมกี” ส่งผลให้เขื่อนเจ้าพระยามีการเพิ่มการระบายน้ำขึ้นไปสูงสุดที่ 2,900 ลูกบาสก์เมตรต่อวินาที (อัปเดตวันที่ 11 พ.ย.68) ทำให้ระดับน้ำด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น มีผลกระทบต่อบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของประชาชนบริเวณดังกล่าวโดยตรง
อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับเมื่อปี 2554 ที่หลายพื้นที่ของประทศไทยประสบปัญหาน้ำท่วม ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น เขื่อนเจ้าพระยามีการระบายน้ำสูงสุดที่ราว 3,700 ลูกบาสก์เมตรต่อวินาที

ประชาชนต้องติดตามสถานการณ์น้ำจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด หากไม่มีปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมามากเกินปกติ การระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยา และเขื่อนที่มีผลต่อลุ่มน้ำเจ้าพระยา อาทิ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จะค่อย ๆ ลดปริมาณลง พร้อมกลับคืนสู่ภาวะปกติต่อไป
อ่านบทความที่น่าสนใจอื่น ๆ




















