EN

แชร์

Copied!

เตือนภัย ! สาวถูกแก๊งคอลเซนเตอร์สวมรอย DSI ลวงโอนเงินกว่า 3 แสน

13 มิ.ย. 6809:00 น.
1
เตือนภัย ! สาวถูกแก๊งคอลเซนเตอร์สวมรอย DSI ลวงโอนเงินกว่า 3 แสน
หญิงสาวรายหนึ่งออกมาโพสต์ขอให้ช่วยตามเงินเกือบ 340,000 บาท คืน หลังตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซนเตอร์ ซึ่งแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ รูปแบบกลลวงที่เธอถูกหลอกจะเป็นอย่างไร และจะรู้ได้อย่างไรว่าคนที่คุณติดต่อเป็นเจ้าหน้าที่หรือแก๊งคอลเซนเตอร์ ติดตามได้ที่นี่

Thai PBS Verify พบผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กสาวรายหนึ่ง ออกมาโพสต์ขอความช่วยเหลือ หลังเธอถูกแก๊งคอลเซนเตอร์หลอก ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ โดยจะต้องถูกอายัดทรัพย์สินเพื่อทำการตรวจสอบ จนทำให้เธอหลงเชื่อโอนเงินเกือบ 340,000 บาท ไปให้กับคนร้าย

เหยื่อโพสต์ขอความช่วยเหลือ

ทั้งนี้โพสต์ของผู้ใช้บัญชีดังกล่าวระบุว่า “อยากจะร้องไห้ ไม่คิดว่าจะเจอกับตัวเอง เงินเก็บทั้งชีวิต เงินเดือนลูกชาย เกลี้ยงทุกบัญชี ไม่คิดว่าตัวเองจะถูกหลอกแบบง่าย ๆ เงินทั้งหมดเกือบ 340,000 บาท มีเบอร์โทรเข้ามาหา บอกว่าเรามีรายชื่อเกี่ยวกับการฟอกเงิน ขอให้ตรวจสอบบัญชี และนำเงินออกจากบัญชีทั้งหมด จะตรวจสอบภายใน 30 นาที ถึง 1 ชม. ก็จะโอนเงินเข้าบัญชีเรา เราก็ไม่ได้เอะใจอะไรตอนนั้น เราคิดว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง เขาได้มีการบอกให้เราไปให้ปากคำ ถ้าเราไม่ไปเราจะถูกจับข้อหาร่วมกันฟอกเงิน

เอกสารที่มิจฉาชีพปลอมแปลงเพื่อหลอกลวงเหยื่อ

เขาได้มีการเสนอให้แอดไลน์ เป็นการสอบปากคำออนไลน์ เราก็หลงเชื่อแอดไลน์คุยกับเขา เขาได้ถามถึง บัญชีธนาคารที่ใช้อยู่มีกี่บัญชี มีเงินกี่บาทกี่สตางค์ ต้องแจ้งเขาทั้งหมด เขาจะได้ตรวจสอบว่าเงินที่เราได้มาเป็นเงินบริสุทธิ์รึเปล่า เราตอนนั้นก็เชื่อเขาโดยไม่เอะใจเลย โอนเงินออกจากบัญชีไปจำนวน 2 ครั้ง ซึ่งโอนหมดบัญชีเลย และเขาได้มีการคาสายตลอดเวลา มีรูปตำรวจขึ้นมาคุยกับเรา มีรูปบัตรตำรวจ เราก็เชื่อสนิทใจ เราอยากแสดงความบริสุทธิ์ใจ เราโอนเงินออกไปให้เขาตรวจสอบหมดเลย และมีใบมาให้อ่าน ถ้าไม่ทำตามก็จะมีโทษ เราได้เอาทองจำนวน 4 บาท ไปจำนำเป็นเงิน 184,000 แล้วได้มีการโอนไปให้เขาอีกครั้ง เขาก็ถือสายเราตลอดเวลา บอกให้ทำนู่นทำนี่ตามเขาบอก เพราะเป็นการสอบสวน อย่าให้คนอื่นรับรู้ เพราะจะทำให้เจ้าหน้าที่ทำงานไม่สะดวก เขาได้มีการถือสายวิดีโอคอลกับเราตลอดเวลา แล้วบอกเรารอหน่อยนะกำลังตรวจสอบไห้ ถ้าเงินเราบริสุทธิ์ก็จะไม่ต้องมีรายชื่อติดคดี เราก็เชื่อ ตอนนี้หมดตัวเลยค่ะ เหลือติดตัวแค่ 1,000 เท่านั่น ฝากแชร์ฝากดันให้หน่วยงานช่วยหนูด้วยค่ะ

ทั้งนี้หลังจากที่เธอถูกหลอกไปแล้ว ได้มีการโพสต์ระบุว่า เธอยังคงถูกคนร้ายพยายามที่จะหลอกเธอซ้ำ แม้ว่าเงินในบัญชีของเธอจะไม่เหลือแล้วก็ตาม โดยคนร้ายใช้ภาพโปรไฟล์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ทักข้อความส่วนตัวผ่านเฟซบุ๊ก อ้างว่าจะโอนเงินให้ และขอให้เธอรับสายอีกครั้ง

ถอดรูปแบบการหลอกลวง

เมื่อมาตรวจสอบรูปแบบการหลอกลวงก็จะพบว่า คนร้ายไม่ได้ใช้การหลอกลวงรูปแบบใหม่แต่อย่างใด โดยยังคงใช้ความกลัวของเหยื่อเข้ามาหลอกลวงเช่นเดิม แต่สิ่งที่ทำให้เหยื่อหลงเชื่อ คือการนำเอา ชื่อ – นามสกุล และเลขบัตรประชาชน ที่ตรงกับข้อมูลของเหยื่อมาใส่ในเอกสารปลอม พร้อมคำข่มขู่ด้วยการใช้คดีที่เกิดขึ้นจริง รวมถึงควบคุมด้วยการวิดีโอคอลตลอดเวลา เพื่อทำให้เหยื่อหลงเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง และสามารถควบคุมให้เหยื่อทำตามคำสั่งได้ตลอดเวลาจนกว่าจะได้เงินทั้งหมดจากเหยื่อ

นอกจากนี้เมื่อนำเอาภาพของคดีที่คนร้ายแอบอ้างมาตรวจสอบด้วย Google Lens พบว่า ภาพดังกล่าวเป็นภาพในคดีตำรวจไซเบอร์ เข้าค้นบ้าน “เอ็ม เอกชาติ” อินฟลูเอนเซอร์สายแต่งรถ ที่ถูกจับกุมในความผิดฐานชักชวนให้เล่นพนันออนไลน์ เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 67 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นคดีที่เกิดขึ้นจริง จึงทำให้เหยื่อหลงเชื่อ และทำให้กลลวงของเหล่ามิจฉาชีพ ดูมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น (ลิงก์บันทึก)

ตรวจสอบด้วย Google Lens พบว่า ภาพดังกล่าวตรงกับคดีตำรวจไซเบอร์ จับกุม “เอ็ม เอกชาติ” อินฟลูเอนเซอร์สายแต่งรถ

ไม่เพียงแต่ข้อมูลและคำกล่าวอ้างเพียงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการนำหลักฐานปลอมอื่น ๆ ทั้งจาก กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ, กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ตำรวจไซเบอร์ และ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ที่ก็ถูกปลอมขึ้นมาและถูกนำมาแอบอ้างเช่นเดียวกัน

แต่สิ่งที่ทำให้เหยื่อหลงเชื่อเพิ่มเติม คือการแอบอ้างบัตรประจำตัวของเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ที่คนร้ายนำมาใช้อ้างกับเหยื่อ ยิ่งทำให้เหยื่อมั่นใจว่า เธอกำลังคุยกับเจ้าหน้าที่ตัวจริง และเจ้าหน้าที่่ตัวปลอมรายนี้ ก็เป็นส่วนสำคัญในการบังคับเหยื่อด้วยการวิดีโอคอล จนทำให้เธอต้องนำเงินเก็บทั้งหมด รวมถึงทองที่มีอยู่ไปจำนำ และนำเงินทั้งหมดโอนให้กับคนร้าย

ภาพที่คนร้ายใช้หลอกว่าเป็นบัตรประจำตัวของเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ

กลลวงเก่าอัพเดทใหม่

พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการกองบริหารคดีพิเศษ และรองโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุว่า ปัจจุบัน Call Center ปรับเอาข้อมูลข่าวสารปัจจุบัน มาใช้ในการประกอบการหลอกลวงเช่นเดียวกัน ซึ่งรูปแบบที่พบล่าสุดนั้น กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มีการให้บริการแชตไลน์ที่ชื่อว่า “ชูชัย” ซึ่งเป็นบริการที่สร้างขึ้นเพื่อบริการกับประชาชน โดยโปรแกรมดังกล่าวจะมีรูปโปรไฟล์ที่ใช้ชื่อว่าชูชัย แต่ปรากฏว่าผู้เสียหายรายล่าสุด พบว่าคนร้ายมีการใช้ภาพโปรไฟล์ดังกล่าวในการสร้างรูปโปรไฟล์ปลอม เพื่อมาใช้หลอกลวงเหยื่อ ซึ่งเหยื่อรายนี้ถูกหลอกว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน ก่อนที่จะถูกหลอกให้ Video Call และส่งเอกสารที่ได้มีการทำปลอมขึ้นให้กับเหยื่อรายนี้ พร้อมกับขู่บังคับไม่ให้สื่อสารกับใคร และให้โอนเงินไปยังบัญชีที่คนร้ายกำหนดเพื่อขอตรวจสอบ ว่าเงินนั้นมีที่มาถูกต้องหรือไม่ และแน่นอนว่าบัญชีนั้นเป็นบัญชีม้า ซึ่งจริง ๆ แล้ว DSI ได้มีการเตือนภัยมาตลอด

แชตไลน์ที่มิจฉาชีพนำภาพโปรไฟล์ของบริการ “ชูชัย” ซึ่งเป็นบริการของ DSI มาสร้างไลน์ปลอมเพื่อหลอกเหยื่อ

ส่วนรูปแบบของคนร้ายนั้นที่ผ่านมา ไม่ได้มีการเปลี่ยนรูปแบบแต่อย่างใด แต่จะมีการปรับปรุงในเรื่องของภาพโปรไฟล์หรือโปรแกรมใหม่ ๆ ที่รัฐใช้มาใช้ในการหลอกลวง แต่ในส่วนของการหลอกลวงในส่วนใหญ่ จะยังคงใช้การติดต่อเหยื่อโดยตรงผ่านโทรศัพท์ ซึ่งคนร้ายจะทราบชื่อและข้อมูลส่วนตัวของเป้าหมายมาอย่างถูกต้อง ซึ่งต้องยอมรับว่าอาจจะมีข้อมูลที่รั่วไหลออกไปยังคนร้าย และหลังจากที่คุยเสร็จแล้ว ด้วยความที่ประชาชนเห็นว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ โดยธรรมชาติของประชาชน ก็จะมีความวิตกกังวลว่า จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมหรือไม่ ซึ่งความกังวลนี้ก็จะไปเข้าทางของคนร้าย ที่จะใช้ความกลัวมาเป็นเครื่องมือ ในการทำให้คนขาดสติในการตัดสินใจ ซึ่งส่วนใหญ่เริ่มเปลี่ยนวิธีการมาใช้ในการแอดไลน์ ซึ่งขอยืนยันว่า LINE Official ของกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้น จะมี @ นำหน้าเป็น Official LINE

ขณะที่คนร้ายจะใช้การแอดไลน์ผ่านเบอร์โทรศัพท์ โดยคนร้ายจะใช้ตราของ DSI ที่ปลอมขึ้นมาไปตั้งเป็นชื่อกรม พร้อมกับใช้โลโก้ชูชัยมาหลอกทำให้คนเชื่อ ก่อนที่จะ Video Call ด้วยการแต่งกายคล้ายกับเจ้าหน้าที่รัฐ พร้อมกับแสดงบัตรปลอมและส่งเอกสารราชการปลอม มาใช้ในการหลอกลวง ซึ่งหากสังเกตเอกสารดังกล่าว จะพบว่าหนังสือเพียงฉบับเดียว แต่กลับมีหน่วยงานราชการ 3 หน่วยอยู่ในเอกสารฉบับเดียว รวมถึงรูปแบบหรือ Format ของเอกสารจากหน่วยงานก็ไม่ตรงกัน ซึ่งเข้าใจได้ว่าประชาชนอาจจะไม่มีความรู้ในเรื่องดังกล่าว ประกอบกับการที่ประชาชนขาดสติหรือตกใจ ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนต่อไปของคนร้าย คือการที่จะสร้างเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรม ด้วยการให้โอนเงินมาตรวจสอบ และห้ามบอกเรื่องนี้กับผู้อื่น ซึ่งเมื่อความกลัวประกอบกับการขาดสติ ก็จะทำให้หลงเชื่อโอนเงินไปให้กับกลุ่มคนร้าย และก็ไม่สามารถติดต่อได้

พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการกองบริหารคดีพิเศษ และรองโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ

วิธีสังเกตเจ้าหน้าที่จริงจะไม่ทำสิ่งเหล่านี้

  1. รูปแบบการติดต่อของหน่วยงานราชการทุกหน่วยปกติแล้วจะมีหนังสือราชการส่งไปถึง
  2. หากมีการใช้การโทรศัพท์ ส่วนใหญ่จะเป็นการที่มีการประสานการปฏิบัติกันมาก่อนแล้ว
  3. การติดต่อโดยทั่วไปจะมีการส่งหนังสือเชิญ หรือหมายเรียก
  4. หากพบกรณีลักษณะดังกล่าวที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ ขอให้ “ตั้งสติอย่าตกใจ”
  5. เมื่อไหร่ที่มีการพูดถึงเรื่องของการให้ “โอนเงินมาตรวจสอบเพื่อแสดงความบริสุทธิ์” ให้ตัดสายทิ้งทันที