มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ มัทฉะ ทั้งประโยชน์ ข้อควรระวัง และวิธีดื่มให้ปลอดภัยจาก ดร.วัชรพล ขุนอินทร์ สาขาวิชาโภชนวิทยาและการกำหนดอาหาร คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
มัทฉะคืออะไร ?
มัทฉะแตกต่างจากชาเขียวทั่วไป เพราะทำจากยอดชาอ่อนสองใบด้านบนสุดของต้นชา ซึ่งเป็นส่วนที่มีสารอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุด กระบวนการผลิตเริ่มจากการนำยอดชาอ่อนมาผึ่งแห้งเพื่อไล่ความชื้น แล้วจึงบดเป็นผงละเอียด สามารถบริโภคได้โดยการละลายในน้ำร้อนเพื่อชงเป็นเครื่องดื่ม หรือใช้เป็นส่วนผสมในขนมและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ความพิเศษอีกอย่างคือในประเทศญี่ปุ่น มัทฉะมักใช้ในพิธีชงชาแบบดั้งเดิม ไม่ได้ดื่มกันเป็นประจำเหมือนชาใบทั่วไป ส่วนในประเทศไทย การดื่มชาเขียวมัทฉะในชีวิตประจำวันถือเป็นเรื่องปกติ แต่ควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากสารอาหารในชา

ดร.วัชรพล ขุนอินทร์ สาขาวิชาโภชนวิทยาและการกำหนดอาหาร คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ประโยชน์ของมัทฉะ
มัทฉะอุดมไปด้วย สารต้านอนุมูลอิสระ EGCG และคาเทชิน ที่มีส่วนช่วยให้ร่างกายแข็งแรง หนึ่งในประโยชน์สำคัญคือการช่วยลดการอักเสบและความเครียดจากอนุมูลอิสระ โดยสาร EGCG มีบทบาทสำคัญในการลดการเสื่อมสภาพของเซลล์และบรรเทาภาวะอักเสบในร่างกาย นอกจากนี้งานวิจัยยังพบว่า ชาเขียวมัทฉะ สามารถช่วยปรับสมดุลไขมันในเลือด ลดคอเลสเตอรอลบางชนิด และกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งมัทฉะยังมี คาเฟอีนในปริมาณพอเหมาะ ที่ช่วยให้รู้สึกตื่นตัวและมีสมาธิ แต่ควรระวังเพราะฤทธิ์ของคาเฟอีนอยู่ได้นานประมาณ 4-6 ชั่วโมง จึงควรหลีกเลี่ยงการดื่มช่วงเย็นเพื่อไม่ให้รบกวนการนอน สรุปได้ว่า การดื่มชาเขียวมัทฉะเป็นประจำสามารถช่วยให้ร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระ แต่ควรเข้าใจว่า มัทฉะไม่ใช่ยา และไม่สามารถใช้รักษาโรคได้
ข้อควรระวังในการดื่มมัทฉะ
ดร.วัชรพล กล่าวว่า แม้ว่ามัทฉะจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก็มีบางกรณีที่ควรระมัดระวัง โดยเฉพาะเรื่องการดูดซึมธาตุเหล็กและแคลเซียม เนื่องจากมัทฉะมีไฟเตต (Phytate) ซึ่งอาจขัดขวางการดูดซึมแร่ธาตุเหล่านี้ ผู้ที่มีภาวะโลหิตจาง หรือขาดธาตุเหล็กและแคลเซียม ควรเว้นช่วงอย่างน้อย 2 ชั่วโมงระหว่างการดื่มมัทฉะกับมื้ออาหาร และควรหลีกเลี่ยงการดื่มมากเกินไปในช่วงที่รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กหรือแคลเซียมสูง
นอกจากนี้ ผู้ที่มีโรคประจำตัวก็ควรระมัดระวังเช่นกัน ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงสามารถดื่มได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดปริมาณที่เหมาะสม ผู้ที่มีโรคนิ่วในไตควรระวัง เพราะสารบางชนิดในชาเขียวอาจเพิ่มความเสี่ยง ส่วนผู้ที่มีโรคไทรอยด์สามารถดื่มได้ แต่ควรดื่มแบบไม่เติมน้ำตาล
อีกสิ่งหนึ่งที่ควรใส่ใจคือการบริโภคร่วมกับน้ำตาลและขนมหวาน ซึ่งพบได้บ่อยในประเทศไทย เช่น มัทฉะที่ผสมนม น้ำเชื่อม หรือขนมต่าง ๆ ทำให้ปริมาณน้ำตาลสูงเกินไป ทางที่ดีควรเลือกดื่มมัทฉะแบบเพียว หรือผสมนมพืชเพื่อสุขภาพ และลดการเติมน้ำตาลเพื่อคงคุณค่าทางโภชนาการของชา
สำหรับวิธีดื่มมัทฉะอย่างปลอดภัย ควรดื่มวันละ 1-2 แก้วก็เพียงพอ เว้นช่วงกับมื้ออาหารที่มีธาตุเหล็กและแคลเซียมอย่างน้อย 2 ชั่วโมง ดื่มน้ำตามมาก ๆ เพื่อป้องกันอาการท้องผูก หลีกเลี่ยงการใส่น้ำตาลมากเกินไป และควรปรึกษาแพทย์หากมีโรคประจำตัวก่อนเพิ่มมัทฉะในชีวิตประจำวัน การดื่มมัทฉะแบบเพียว ๆ จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระเต็มที่ พร้อมทั้งเพลิดเพลินไปกับกลิ่นหอมและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของชาแท้ ๆ อีกด้วย
“ชาเขียวมัทฉะ เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มี สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการอักเสบและส่งเสริมสุขภาพ แต่ไม่ได้ใช้แทนยา การดื่มควรควบคุมปริมาณ และเลือกวิธีการดื่มให้เหมาะสมกับสุขภาพ”
ขอบคุณข้อมูลจาก : รายการวันใหม่วาไรตี้