ตัวเลขเหล่านี้ยืนยันได้ชัดเจนว่า “น้ำท่วม” ไม่ใช่แค่ภัยจากธรรมชาติที่สร้างความเสียหายให้บ้านเรือนเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อรถยนต์ของประชาชนอย่างรุนแรงอีกด้วย
อีกประเด็นที่หลายคนสงสัยในโซเชียลคือ “ถ้าปิดแอร์ขับรถลุยน้ำ จะช่วยให้ขับรถไปได้จริงหรือไม่?” ซึ่งเรื่องนี้เป็นอีกคำถามยอดฮิตที่หลายคนอยากรู้คำตอบ
ทำไมถึงต้องปิดแอร์ขณะขับรถลุยน้ำท่วม
นายพัฒนเดช อาสาสรรพกิจ ผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์ กล่าวว่า การปิดระบบแอร์เมื่อต้องขับรถลุยน้ำ ขึ้นอยู่กับระดับความลึกของน้ำเป็นหลัก หากน้ำไม่ลึกมาก อาจไม่จำเป็นต้องปิดก็ได้ แต่โดยทั่วไปแล้ว แนะนำให้ปิดไว้ก่อนจะดีกว่า เหตุผลคือพัดลมแอร์อาจจะหมุนและตีน้ำกระเด็นฟุ้งกระจายเข้ามาในห้องเครื่อง ซึ่งเสี่ยงที่จะโดนระบบไฟฟ้า หากเกิดการช็อตอาจทำให้เครื่องดับได้ สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า หากระบบไฟฟ้าเสียหายจะส่งผลโดยตรงกับการขับขี่ทันที

นายพัฒนเดช อาสาสรรพกิจ ผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์
นอกจากเรื่องแอร์แล้ว อีกสิ่งสำคัญคือ การเปิดกระจกหน้าต่าง เพราะหากคุณปิดทั้งแอร์และกระจก กระจกจะเกิดฝ้า ทำให้มองทางไม่ชัดเจน มีความเสี่ยงในการขับขี่ อีกทั้งเวลาลุยน้ำ มักมีสิ่งที่คาดไม่ถึง เช่น หลุมบ่อ ถนนทรุด หรือรถคันอื่นที่ส่งสัญญาณเตือน ไม่ว่าจะเป็นเสียงตะโกนหรือเสียงบีบแตร หากปิดกระจกหมด คุณอาจไม่ได้ยินเสียงเตือนเหล่านี้ ทำให้เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ การเปิดกระจกจึงช่วยให้คุณได้ยินสิ่งรอบข้างและเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น
ดังนั้น เมื่อจำเป็นต้องขับรถลุยน้ำ ควรจำไว้ 2 เรื่องหลัก ๆ คือ ปิดแอร์เพื่อป้องกันระบบไฟฟ้าเสียหาย และ เปิดกระจกเพื่อเพิ่มทัศนวิสัยและรับรู้สัญญาณจากภายนอก วิธีง่าย ๆ เหล่านี้สามารถช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสให้คุณและรถผ่านน้ำท่วมไปได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น
วิธีขับรถลุยน้ำท่วมอย่างปลอดภัย
ก่อนลุยน้ำควรประเมินระดับน้ำก่อน หากน้ำสูงเกินครึ่งล้อ หรือสูงถึงหรือสูงกว่าฝากระโปรงรถ ถือว่าเสี่ยงเกินไปและไม่ควรฝ่า และเมื่อขับผ่านน้ำควรใช้เกียร์ต่ำและรักษารอบเครื่องยนต์ให้คงที่ ขับแบบช้า ๆหลีกเลี่ยงการเร่งหรือเบรกแรง ๆ ส่วนเรื่องแอร์ ให้เปิดหรือปิดอย่างเหมาะสม หากต้องปิดแอร์ ควรเผื่อเปิดกระจกเล็กน้อยเพื่อช่วยลดความร้อนในห้องโดยสาร ส่วนถ้าไม่ปิดแอร์ อย่าปรับแรงลมสูงสุดจนเกิดแรงดูดภายนอกมากเกินไป หลังขับผ่านน้ำไม่ควรเหยียบเบรกค้าง ควรเบรกเบา ๆ หลายครั้งเพื่อไล่น้ำออก ทำให้ผ้าเบรกกลับมาสะอาดและทำงานได้ดี การขับควรช้าและมั่นคง หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนความเร็วบ่อย ๆ ไม่ควรเร่งแซงหรือหมุนพวงมาลัยแรง และหากน้ำเข้ารถแล้วควรดับเครื่องยนต์ทันที อย่าสตาร์ทรถซ้ำ เพราะอาจทำให้เครื่องยนต์เกิดอาการ “อัดน้ำ” ซึ่งเป็นอันตรายต่อเครื่องยนต์
คปภ. แนะเกณฑ์ประเมินค่าซ่อมรถยนต์ถูกน้ำท่วม 5 ระดับ
สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) แจงเกณฑ์การพิจารณาความเสียหายของรถยนต์จากเหตุอุทกภัย โดยแบ่งเป็น 5 ระดับ ตั้งแต่น้ำท่วมเพียงพื้นรถ ไปจนถึงจมทั้งคัน ซึ่งมีผลต่อการประเมินค่าซ่อมและการเคลมประกัน ดังนี้
ระดับ A: น้ำท่วมถึงพื้นรถยนต์ ค่าซ่อมประมาณ 8,000 – 10,000 บาท
ระดับ B: น้ำท่วมถึงเบาะนั่ง ค่าซ่อมประมาณ 15,000 – 20,000 บาท
ระดับ C: น้ำท่วมถึงส่วนล่างของคอนโซลหน้า ค่าซ่อมประมาณ 25,000 – 30,000 บาท
ระดับ D: น้ำท่วมถึงส่วนบนของคอนโซลหน้า ค่าซ่อมเริ่มต้นที่ 30,000 บาทขึ้นไป
ระดับ E: รถยนต์จมน้ำทั้งคัน บริษัทประกันจะคืนทุนประกันภัยให้
ทั้งนี้ การเคลมประกันน้ำท่วมขึ้นอยู่กับเงื่อนไขความคุ้มครองในกรมธรรม์ อย่างไรก็ตาม หากผู้ขับขี่ฝ่าลุยน้ำด้วยตนเองแล้วรถเกิดความเสียหาย อาจทำให้ประกันไม่คุ้มครอง
- สิ่งที่ควรทำเมื่อรถยนต์ถูกน้ำท่วม
- ตรวจสอบกรมธรรม์ประกันภัย เช็กว่ากรมธรรม์ของคุณครอบคลุมน้ำท่วมหรือไม่
- หลีกเลี่ยงการขับฝ่าน้ำ หากระดับน้ำสูงเกินไป ไม่ควรขับ
- อย่าสตาร์ทรถซ้ำ หากเครื่องยนต์ดับกลางน้ำ เพราะอาจทำให้เครื่องยนต์พังหนักขึ้น
- สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ ติดต่อสายด่วน คปภ. 1186 หรือเข้าเว็บไซต์ www.oic.or.th