EN

แชร์

Copied!

สองเดือนวิกฤตชายแดน ข่าวปลอมบั่นทอนเจรจา-สื่อปลุกชาตินิยม เสี่ยง “ไทย-กัมพูชา” ไร้ทางออก

27 ก.ย. 6810:00 น.
สองเดือนวิกฤตชายแดน ข่าวปลอมบั่นทอนเจรจา-สื่อปลุกชาตินิยม เสี่ยง “ไทย-กัมพูชา” ไร้ทางออก
ผ่าน 2 เดือนความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ข่าวปลอมยังพุ่ง ด้านนักวิชาการชี้รัฐบาลใหม่มองสั้น ขณะที่สื่อปลุกกระแสชาตินิยมขัดเจรจา แนะ “อยู่ร่วมกัน” คือทางออกที่ดีที่สุดของทั้งสองประเทศ

ผ่านมาแล้วกว่า 2 เดือน ของความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา Thai PBS Verify พบว่า ข่าวปลอมในช่วงความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ตั้งแต่การปะทะกันในวันที่ 24 ก.ค. 68 มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะช่วง 5 วันแรกของการปะทะ ที่มีการตรวจสอบไปถึง 11 ข่าว ในจำนวนนี้เป็นข่าวปลอมจากฝั่งกัมพูชา 8 ข่าว และจากฝั่งไทย 3 ข่าว แพลตฟอร์มหลักที่พบคือ Facebook และ X (Twitter) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของสื่อและสร้างความแตกแยก

ตัวอย่างข่าวปลอมที่พบในช่วงความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

ประเภทของข่าวปลอมที่พบ (ตั้งแต่ 24 ก.ค. 68 เป็นต้นมา):

1. การใช้ภาพและวิดีโอเก่าหรือจากเหตุการณ์อื่น: (เป็นรูปแบบที่พบมากที่สุด)

ตัวอย่าง 1 (จากฝั่งกัมพูชา): สื่อกัมพูชานำภาพที่อ้างว่าไทยยิงกระสุนฟอสฟอรัสใส่พื้นที่พลเรือนกัมพูชา

เรื่องจริง: ภาพดังกล่าวเป็นภาพเก่าที่ประเทศเลบานอน ปี 2023 ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

ตัวอย่าง 2 (จากฝั่งกัมพูชา): คลิปวิดีโออ้างว่าทางการไทยเร่งเกณฑ์ชายหนุ่มไปเป็นทหาร

เรื่องจริง: คลิปดังกล่าวเป็นเพียงคลิปเก่าการคุมตัวผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพในคดีฆาตกรรม ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเกณฑ์ทหารหรือความขัดแย้งชายแดน

2. การสร้างเนื้อหาปลอม หรือการบิดเบือนข้อมูลจาก AI:

ตัวอย่าง 1 (จากฝั่งกัมพูชา): คลิปที่สื่อของกัมพูชาอ้างว่าทหารไทยลอบวางทุ่นระเบิด

เรื่องจริง: คลิปจริงเป็นภาพการกู้ทุ่นระเบิดของหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมกองทัพเรือ แต่กลับถูกนำมาสร้างภาพ AI ให้เหมือนกำลังวางระเบิดลงไปแทน

ตัวอย่าง 2 (จากฝั่งไทย): วิดีโอปลอมที่ทำเลียนเสียงโฆษกกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาที่พูดภาษาไทย แสดงความเสียใจที่ประเทศไทยไม่ยอมรับผู้บาดเจ็บ

เรื่องจริง: เป็นเทคนิคที่ใช้ AI เพื่อสร้างเสียงและเนื้อหาปลอม เพื่อสร้างความเข้าใจผิด

3. การปลุกปั่นความรู้สึก:

ตัวอย่าง 1 (จากฝั่งกัมพูชา): คลิปที่อ้างว่าครอบครัวทหารไทยประท้วงให้ลูกหลานกลับบ้าน

เรื่องจริง: คลิปดังกล่าวเป็นคลิปการประท้วงเรื่องที่ดินทำกินในจังหวัดนครศรีธรรมราช ไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งชายแดน

ตัวอย่าง 2 (จากฝั่งกัมพูชา): คลิปอ้างเป็นศพคนไทยที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะ

เรื่องจริง: คลิปดังกล่าวเป็นคลิปเก่าเหตุรถบัสดูงานพลิกคว่ำ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

จากสถานการณ์ความขัดแย้งทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ข่าวปลอมได้ที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะหลังการปะทะในวันที่ 24 ก.ค. 68 ที่พบว่า ข่าวปลอมที่ออกมา มีทั้งความเร็วและปริมาณที่พุ่งสูง นอกจากนี้ยังมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ได้แก่ การสร้างความเข้าใจผิด, การทำลายความน่าเชื่อถือ และการสร้างความเกลียดชัง

ปิดด่าน ไทย-กัมพูชา เศรษฐกิจใครกระทบกว่ากัน?

ศ. ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ไทย-กัมพูชา และการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา โดยระบุว่า เรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่ได้รับผลกระทบชัดเจนที่สุด ซึ่งถือเป็นเรื่องของความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระยะยาว เพราะมีการตัดสินใจในการขยายการลงทุนหรือการย้ายฐานการผลิต ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ผลกระทบที่เกิดกับญี่ปุ่น แต่ยังอาจเกิดกับประเทศอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น จีนหรือ เกาหลี แต่ที่จะกระทบคือการส่งออกของไทย เพราะมูลค่าการส่งออกสูงนับหมื่นล้านต่อเดือน ซึ่งหากปล่อยไปในลักษณะนี้ผลกระทบจะเกิดขึ้นกับผู้ส่งออก พวกกัมพูชาจะมุ่งไปหาตลาดอื่น เพราะสินค้าอุปโภคและบริโภคของไทย เป็นสินค้าที่ทั้งจีนและเวียดนาม สามารถที่จะผลิตได้เช่นเดียวกัน อีกทั้งหากปล่อยให้การค้าขายกับชาติอื่น ๆ เริ่มกระบวนการอย่างเป็นระบบแล้ว เขาก็จะหันไปใช้ระบบใหม่ตลอดไป ซึ่งผลกระทบมองว่า จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่จะมากน้อยขนาดไหนขึ้นอยู่กับความขัดแย้ง ว่าจะเกิดขึ้นนานขนาดไหน

ศ. ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ขณะที่ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศ โดยเฉพาะผู้คนก็เป็นเรื่องที่ยากที่จะฟื้นคืนกลับมาได้ และจะเป็นอุปสรรคสำคัญของการกำหนดนโยบาย การแก้ปัญหาของรัฐบาลที่เป็นอยู่ ซึ่งถือว่าเห็นได้ชัด และโดยส่วนตัวก็ไม่เคยพบว่า ไม่มีครั้งใดที่กระแสชาตินิยม จะกลายเป็นอุปสรรคต่อประกันตัดสินใจแก้ปัญหามากได้ขนาดนี้

ชี้ “รัฐบาล” มอบอำนาจ “ทหาร” มากเกินไป

ในส่วนของผลกระทบต่อการเมืองนั้น มองว่าการขึ้นมารับตำแหน่งของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ถือว่ามีอำนาจที่จะดึงปัญหาของกัมพูชามาอยู่ในการตัดสินใจของรัฐบาลได้ แต่กลับปล่อยปัญหาดังกล่าวไปให้ทหารเป็นผู้ตัดสินใจ จึงถือว่าเป็นการมองปัญหาดังกล่าวด้วยสายตาที่สั้น เพราะวิถีของทหารถือเป็นปัญหาและอุปสรรคต่อการแก้ปัญหา เพราะหลักเกณฑ์การแก้ไขปัญหาที่ตั้งมา โดยเฉพาะเงื่อนไข 3 ข้อ ที่กัมพูชาต้องปฏิบัติก่อนการเปิดแดน ได้แก่ (1) ถอนอาวุธหนักออกจากแนวชายแดน (2) ร่วมมือกวาดล้างทุ่นระเบิดและวัตถุระเบิดที่ยังไม่ระเบิด และ (3) ปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดนและเครือข่ายค้ามนุษย์ ซึ่งเงื่อนไขทั้งหมดที่ระบุมานั้น มีเพียงเงื่อนไขเดียว คือการร่วมมือกวาดล้างทุ่นระเบิด ที่พอจะมองเห็นว่า สามารถที่จะดำเนินการได้ แต่อีก 2 เงื่อนไขที่เหลือนั้น มองว่าเป็นเงื่อนไขที่ทางกัมพูชา ไม่สามารถที่จะปฏิบัติได้ ซึ่งหลายเรื่องเป็นเรื่องที่ดำเนินไปพร้อมกันได้ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องนำ 2 เรื่องที่เป็นอุปสรรคมาเป็นจุดตั้งต้น เพราะต้องไม่ลืมว่า เรื่องคอลเซนเตอร์ หรือ สแกมเมอร์ ในฝั่งกัมพูชานั้น เป็นเรื่องภายในของกัมพูชา และเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาชายแดนในตั้งแต่แรก ซึ่งการที่นำเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องและเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ยากมาเป็นเงื่อนไข ก็มองว่าเป็นไปไม่ได้ ที่การแก้ไขปัญหาหรือการเปิดด่าน จะเริ่มขึ้นภายในปีหน้าหรือเวลาอันสั้น และมองว่าบางสิ่งที่สามารถทำให้เริ่มเปิดชายแดนได้ เช่น บริเวณพื้นที่ จ.จันทบุรี หรือ จ.ตราด ที่ไม่ได้มีปัญหา ก็ควรที่จะเปิดด่านบริเวณนั้นก่อน แต่ปัจจุบันกลับเห็นได้ว่า จุดที่ไม่เคยมีปัญหา ก็กลับมามีปัญหามากขึ้น

“กระแสชาตินิยม” ผลักดันทุกภาคส่วนมุ่งสู่ความขัดแย้งถาวร

ปัญหาความรักชาติก็เป็นอีกหนึ่งปัญหา เพราะทำให้รัฐบาล ต้องแสดงความรักชาติเต็มที่ จนไม่กล้าดำเนินการใด ๆ ทำให้สร้างความเกลียดชังระหว่างกันเพิ่มขึ้น จึงเป็นอีกหนึ่งอุปสรรค์ของการเจรจา เพราะส่งผลให้ทีมเจรจาที่มีหน้าที่ในการเจรจาบนโต๊ะ ไม่กล้าตัดสินใจ เพราะกระแสชาตินิยมมีการเรียกร้อง ที่ต่างไปจากข้อตกลงบนโต๊ะเจรจา หรือแม้กระทั่งพรรคฝ่ายค้าน ที่มีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหา ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์แย่ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะไม่มีความชัดเจน

ส่วนสื่อของไทยก็เป็นอีกหนึ่งส่วนที่ทำให้เกิดปัญหา ซึ่งเห็นได้จากการนำเสนอข่าวที่ผ่านมา ที่สื่อหลายแห่งนำเสนอข่าวความขัดแย้งที่เล่นกับอารมณ์ของคนมากเกินไป โดยคิดว่าการนำเสนอเรื่องของความรักชาติอย่างเต็มที่ จะสามารถทำอะไรก็ได้ หรือล้วนแต่ถูกต้องไม่มีปัญหา ซึ่งสื่อเองก็มีหน้าที่ในการรับผิดชอบด้วยเช่นเดียวกัน

ภาพมุมสูงความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณ จ.สระแก้ว

“อยู่ร่วมกัน” ทางออกปัญหา “ไทย-กัมพูชา” อย่างยั่งยืน

ส่วน ทีม Interim ASEAN Defence Attaches Monitoring Team ก็ยังไม่สามารถที่จะเข้ามาทำงานได้จริง โดยปัจจุบันมีเพียงทีม Interim Observer Team ซึ่งไม่เพียงพอ และก็ไม่มีอำนาจมากพอที่จะป้องกันไม่ให้เกิดการปะทะ หรือบอกได้ว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ฉะนั้นการหยุดยิงจึงไม่ได้ถูกผลักดันให้เป็นจริง เพราะ ASEAN Defence Attaches Monitoring Team จำเป็นที่จะต้องมีกำลังทหารของประเทศที่เป็นกลางเข้ามาประจำการ เพื่อลดความตึงเครียด ซึ่งหากจะลดความตึงเครียดของทั้งสองประเทศในช่วงนี้ จำเป็นที่จะต้องมีกองกำลังทหารจากประเทศที่เป็นกลางเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา เพราะไม่เพียงแค่เป็นการหยุดการปะทะกันของทั้งสองฝ่าย แต่ยังเป็นการลดความตึงเครียดบริเวณชายแดน เพราะถ้าฝ่ายใดรุกล้ำเข้ามาก็สามารถตัดสินปัญหาได้จริง ซึ่งการลดความตึงเครียดบริเวณชายแดนสำคัญกว่าการแก้ไขปัญหา เพราะไม่เช่นนั้นฝ่ายที่เจรจาก็ไม่กล้าตัดสินใจ เช่น ทั้งสองฝ่ายตกลงเรื่องการเปิดด่าน แต่พอจะปฏิบัติจริงกลับไม่สามารถทำได้ ซึ่งโดยหลักของการเจรจานั้น จำเป็นที่จะต้องฟังเสียงจากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นประชาชนริมชายแดน ผู้ค้าริมชายแดน หรือนักลงทุน

ทั้งนี้มองว่า วิธีประนีประนอมที่จะสามารถแก้ไขจุดที่เคยมีปัญหาได้ดีที่สุด โดยเฉพาะพื้นที่ที่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการปักปันเขตแดน คือการ อยู่ร่วมกัน หรือกลับไปอยู่ในสภาพก่อนหน้าที่จะมีการปะทะกันเกิดขึ้น เพราะพื้นที่เหล่านี้ก่อนที่จะมีปัญหา ก็เป็นพื้นที่ที่มีการดูแลร่วมกันมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการอนุญาตให้ประชาชนเข้าชมกลุ่มประสาทต่าง ๆ หรือการลาดตระเวนร่วมกันที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ โดยสามารถปรับให้เป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรม ซึ่งทั้งสองฝ่ายก็ยังมีสิทธิ์เหนือพื้นที่เหล่านั้นอยู่ และประเทศอื่น ๆ ก็ทำในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน จึงมองว่า การแก้ไขปัญหาด้วยทางออกดังกล่าว เป็นการแก้ไขปัญหาที่ทำได้ไวมากที่สุด โดยเฉพาะเมื่อทั้งสองฝ่าย ต่างถือแผนที่คนละฉบับอย่างเช่นในปัจจุบัน