จากการตรวจสอบเรื่องนี้ Thai PBS Verify พบว่าเป็นข่าวปลอม ลักษณะบิดเบือน โดยสื่อรายหนึ่งของทางกัมพูชาระบุว่า ไทยใช้กระสุนบรรจุสารเคมีพิษประเภทฟอสฟอรัสขาวตกที่บริเวณทุ่งนาของประชาชนในพื้นที่ อำเภอบันเตียอำปึล จังหวัดอุดรมีชัย กัมพูชา พร้อมแนบรูปประกอบพร้อมใส่โลโก้สำนักข่าวกัมพูชา แต่จากการตรววจสอบพบว่า ภาพดังกล่าวนั้นเป็นภาพจากเหตุการณ์ที่อิสราเอลใช้อาวุธบรรจุฟอสฟอรัสขาว โจมตีบริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่งทางตอนใต้ของประเทศเลบานอน เมื่อปี 2023
ทางด้านกองทัพไทยแถลงอ้างว่า มีการใช้กระสุนฟอสฟอรัสจริง แต่อยู่ภายใต้ระเบียบการควบคุมและกรอบกฎหมายสากล
Thai PBS Verify พบแหล่งที่มาข่าวปลอมจาก : Website
ตรวจสอบพบเว็บไซต์ข่าวของกัมพูชา KBN News ได้รายงานข่าว พร้อมแนบภาพประกอบอ้างว่า ไทยใช้กระสุนบรรจุสารเคมีพิษประเภท White Phosphorus (ฟอสฟอรัสขาว) ในทุ่งนาของประชาชนในพื้นที่ อำเภอบันเตียอำปึล จังหวัดอุดรมีชัย กัมพูชา
โดยรายงานของสื่อกัมพูชา ระบุว่า
CMAC พบหลักฐานใหม่ ยืนยันว่าไทยใช้ระเบิดควันพิษกับกัมพูชา
วันที่ 15 สิงหาคม 2025 (พนมเปญ) – องค์การกำจัดทุ่นระเบิดของกัมพูชา (CMAC) พบกระสุนปืนใหญ่ขนาด 155 มิลลิเมตร บรรจุสารเคมีพิษประเภท White Phosphorus (ฟอสฟอรัสขาว) ซึ่งเป็นอาวุธของกองทัพไทย ที่ถูกใช้กับกัมพูชาในช่วงเวลา 5 วันที่ผ่านมา ตามคำกล่าวของ นายเฮง รัตนา ผู้อำนวยการใหญ่ของ CMAC
นายเฮง รัตนา ได้โพสต์บนเฟซบุ๊กของเขาเมื่อวันที่ 14 สิงหาคมว่า หน่วยงานผู้เชี่ยวชาญของ CMAC ได้ตรวจพบกระสุนปืนใหญ่ชนิด 155 มม. ซึ่งเป็นชนิดที่บรรจุสารไวไฟและสารพิษ White Phosphorus ที่ถูกกองทัพไทยยิงเข้ามาในพื้นที่ความขัดแย้ง
เขาระบุว่า กระสุนปืนใหญ่ที่พบมีหมายเลข THS856105-011 155MM M825 ถูกพบในทุ่งนาของประชาชนในพื้นที่ อำเภอบันเตียอำปึล จังหวัดอุดรมีชัย ของกัมพูชา
นายเฮง รัตนา ได้เรียกร้องให้ประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ใกล้ชายแดน ให้ระมัดระวังสูงสุดต่อวัตถุระเบิดที่ยังไม่ระเบิดซึ่งอาจมีควันพิษ และหากพบเจอ ขอให้รีบแจ้งให้เจ้าหน้าที่ CMAC ทราบเพื่อดำเนินการจัดเก็บและทำลายอย่างปลอดภัย
นอกจากนี้ มีรายงานว่า ตลอดช่วง 5 วัน 6 คืนของการสู้รบที่ผ่านมา กองทัพอากาศของไทยได้ใช้อาวุธหนักหลายชนิด ซึ่งผิดกฎหมายระหว่างประเทศ และถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง
เมื่อวันที่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมา CMAC ได้พบวัตถุระเบิดหลายลูกที่ยังไม่ระเบิด ซึ่งตกกระจายอยู่ตามต้นไม้ ทุ่งนา หลังคาบ้าน ใต้ดิน และในแหล่งน้ำ วัตถุเหล่านี้ถือว่ามีความเสี่ยงสูงและอาจเป็นอันตรายต่อประชาชนได้ตลอดเวลา
แท้จริงคือภาพเหตุการณ์เก่าเมื่อปี 2023
จากการตรวจสอบภาพด้วยเครื่องมือตรวจสอบภาพ Google Lens พบว่าภาพดังกล่าว พบว่า ภาพที่ใช้ประกอบนั้นเป็นภาพเหตุการณ์อิสราเอลใช้อาวุธเคมีฟอสฟอรัสขาวตกใส่หมู่บ้านอัล-บุสตาน ประเทศเลบานอน โดยภาพดังกล่าวไปตรงกับรายงานของเว็บไซต์สำนักข่าว BBC ระบุว่า
วันที่ 15 ต.ค. 2023 มีการยิงระเบิดของอิสราเอลที่ดูเหมือนจะมีส่วนผสมของ ฟอสฟอรัสขาว (white phosphorus) ตกใส่หมู่บ้านอัล-บุสตาน ประเทศเลบานอน

ภาพบันทึกหน้าจอแสดงผลการค้นหาโดยการใช้เครื่องมือค้นหาภาพ Google Lens ปรากฎเนื้อหารายงานว่าเป็นเหตุการณ์อิสราเอลใช้อาวุธเคมีตกใส่หมู่บ้านในประเทศเลบานอน

ภาพบันทึกหน้าจอรายงานของ BBC ระบุว่า มีการยิงระเบิดของอิสราเอลที่ดูเหมือนจะมีส่วนผสมของ ฟอสฟอรัสขาว (white phosphorus) ตกใส่หมู่บ้านอัล-บุสตาน ประเทศเลบานอน, วันที่ 15 ต.ค. 2023
นอกจากนี้ยังพบภาพข่าวนี้ในรายงานของเว็บไซต์สำนักข่าว Al Jazeera รวมถึงรายงานของ Human Rights Watch ระบุว่า ภาพกระสุนปืนใหญ่ขนาด 155 มม. ของอิสราเอลซึ่งบรรจุไวต์ฟอสฟอรัส ถูกยิงให้ระเบิดกลางอากาศในระดับต่ำ เหนือหมู่บ้านอัล-บุสตาน ประเทศเลบานอน ซึ่งอยู่ใกล้กับชายแดนอิสราเอล เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2023

ภาพบันทึกหน้าจอรายงานของ Human Rights Watch
กองทัพไทยอ้างใช้กระสุนฟอสฟอรัสจริง แต่อยู่ภายใต้ระเบียบการควบคุมและกรอบ กม.สากล
ด้านกองทัพไทยแถลงยืนยันผ่านเพจ Facebook ว่ากระสุนฟอสฟอรัสขาว (WP) ไม่ใช่อาวุธเคมี และการใช้อาวุธในเหตุการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นไปตามกรอบกฎหมายสากล
ระบุว่า
19 ส.ค. 68 – พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงกรณีนายเฮง รัตนา ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งกัมพูชา (CMAC) เผยแพร่ข้อมูลอ้างว่า ผู้เชี่ยวชาญของ CMAC ตรวจพบกระสุนปืนใหญ่ขนาด 155 มิลลิเมตร บรรจุสารฟอสฟอรัสขาว (White Phosphorus – WP) ในพื้นที่จังหวัดอุดรมีชัย พร้อมทั้งกล่าวหาว่าเป็นผลจากการยิงของกองทัพไทยในช่วงความขัดแย้ง 5 วัน และเป็นกระสุนที่มีลักษณะเป็นอาวุธเพลิงและก่อควันพิษ
โฆษกกองทัพบกยืนยันว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง ปราศจากหลักฐานสนับสนุน และไม่มีน้ำหนักทางกฎหมาย พร้อมชี้แจงว่า กระสุนฟอสฟอรัสขาว (WP) มีวัตถุประสงค์หลักในการใช้สร้างควัน แสงสว่าง ระเบิด และเพลิง ไม่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มอาวุธเคมีตามอนุสัญญาว่าด้วยอาวุธเคมี (Chemical Weapons Convention – CWC) อีกทั้งไม่มีสนธิสัญญาระหว่างประเทศใดที่ห้ามการเก็บรักษาหรือการใช้งานกระสุนชนิดนี้ ประเทศไทยจึงสามารถเก็บรักษาและใช้ตามภารกิจทางทหารได้ภายใต้กรอบกฎหมายสากล
ในส่วนของอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้อาวุธตามแบบบางชนิด (Convention on Certain Conventional Weapons – CCW) พิธีสารที่ 3 กำหนดห้ามการใช้อาวุธเพลิงที่ออกแบบมาเพื่อเผาไหม้บุคคลโดยตรง แต่กระสุน WP ไม่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มดังกล่าว ทั้งนี้ การใช้กระสุน WP ของกองทัพบกไทยอยู่ภายใต้ระเบียบการควบคุมอย่างเข้มงวด ใช้ต่อเป้าหมายทางทหารเท่านั้น และไม่เคยมีการนำไปใช้เพื่อมุ่งทำลายชีวิตพลเรือนแต่อย่างใด
พลตรี วินธัย เน้นย้ำว่า การครอบครองและการใช้กระสุน WP ของกองทัพไทยเป็นไปอย่างเคร่งครัดตามกรอบกฎหมายสากล มีการควบคุมรัดกุม และสอดคล้องกับหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศทุกประการ จึงเห็นได้ว่าข้อกล่าวหาที่กัมพูชาเผยแพร่เป็นเพียงความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อสร้างความเข้าใจผิดในเวทีสาธารณะเท่านั้น
นอกจากนี้ ทางด้าน รศ. ดร. เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ได้ออกมาโพสต์ให้ข้อมูลผ่านเพจ Facebook ส่วนตัว เกี่ยวกับข้อมูลเพิ่มของฟอสฟอรัสขาว ว่ามีอันตรายและมีช่องโหว่เรื่องการใช้สารชนิดนี้ในระดับสากล ที่ยังเป็นกระแสการถกเถียงกันอยู่
ระบุว่า
ฟอสฟอรัสขาวคืออะไร
– “ฟอสฟอรัสขาว (white phosphorus)” เป็นสารพิษ ที่มีลักษณะคล้ายขี้ผึ้ง เมื่อสัมผัสกับออกซิเจนจะติดไฟได้ และเกิดความร้อนสูงถึง 815 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงพอจะละลายโลหะได้
– ฟอสฟอรัสขาว สามารถจุดไฟให้ลุกลามได้อย่างรวดเร็ว และเกิดควันหนาในพื้นที่กว้าง จึงทำให้ฟอสฟอรัสขาวเป็นสารที่ทางทหารนิยมนำใช้ในการสร้างม่านควัน ซึ่งควันจะอยู่ราว 7 นาที ปกติแล้วจะไม่มีสี หรือมีสีขาว หรือสีเหลือง
– ฟอสฟอรัสขาวดับยากมาก โดยจะลุกเป็นไฟไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะไหม้หมด หรือจนกว่าจะไม่ได้สัมผัสออกซิเจนอีกต่อไป โดยใช้งานผ่านกระสุนปืนใหญ่ ระเบิด จรวด หรือระเบิดมือ
– ฟอสฟอรัสขาวที่ระเบิดออกมา จะกระจายไปเป็นบริเวณกว้าง ขึ้นอยู่กับระดับความสูงของระเบิด จนทำให้เกิดความเสียหายกับพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ได้
อันตรายจากฟอสฟอรัสขาว
– ฟอสฟอรัสขาวทำให้เกิดบาดแผลร้ายแรงได้เมื่อสัมผัสกับผิวหนัง สามารถไหม้ผิวหนังของคน ลึกไปจนถึงกระดูก และดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ทำให้เกิดความผิดปกติต่ออวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย ทั้งตับ ไต และหัวใจ
– แผลที่เกิดจากฟอสฟอรัสขาว มีผล 2 ระดับคือ 1. เกิดแผลไหม้ที่ค่อนข้างรุนแรงและลึกมาก 2. เกิดความผิดปรกติของเมตาบอลิซึม ที่อาจฆ่าผู้ป่วยได้ มีผลทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว และเสี่ยงต่อความล้มเหลวของการทำงานอวัยวะในร่างกาย
– ฟอสฟอรัสขาวนั้น สามารถติดอยู่บนหลายพื้นผิว เช่น เสื้อผ้า ที่ทำให้ผิวหนังไหม้ได้อีกครั้ง นอกจากนี้ ยังอาจถึงชีวิต หากสูดดม และทำให้ระคายเคืองดวงตาอย่างรุนแรง
– แผลของผู้ที่สัมผัสจะหายช้า หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี เช่น ต้องเอาฟอสฟอรัสขาวออกจากแผลให้หมด ไม่เช่นนั้นจะเกิดบาดแผลเรื้อรัง และสามารถลุกติดไฟได้ หากฟอสฟอรัสขาวที่ค้างในผิวหนังเจอกับออกซิเจน
– ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากฟอสฟอรัส ต้องทนทุกข์ทรมานตลอดชีวิต จากการหดตัวของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่ออื่น ๆ ทำให้เคลื่อนไหวได้ลำบาก เมื่อเวลาผ่านไป แผลที่ได้รับบาดเจ็บจะเปลี่ยนเป็นแผลเป็นแบบไฟไหม้ และสร้างความเจ็บปวดทางจิตใจได้
ประเด็นปัญหาถึงการใช้ฟอสฟอรัสขาวในระดับสากล
– มีการโต้แย้งถึงความเหมาะสมของการใช้ฟอสฟอรัสขาวในปฏิบัติการทางการทหาร ดังเช่น ในปี 2566 จากกรณีที่กองทัพอิสราเอลใช้ “กระสุนฟอสฟอรัสขาว” โจมตีทางตอนใต้ของเลบานอน โดยเป็นกระสุนที่ผลิตในสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 1989-1992
– โดยอิสราเอลยืนยันว่า เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว และทางการของประเทศสหรัฐฯ ก็ได้ออกมาแสดงคาดหวังว่า อาวุธเหล่านั้นจะถูกนำไปใช้อย่างชอบธรรม และสอดคล้องกับกฎหมาย ที่ว่าด้วยการขัดกันด้วยอาวุธ
– กองทัพอิสราเอลยังประกาศว่า กำลังพัฒนาควันเพื่ออำพรางตัวแบบใหม่ ที่ปราศจากฟอสฟอรัสขาว แต่ระบุว่า ขอสงวนสิทธิ์ในการใช้และสะสมกระสุนฟอสฟอรัสขาว จนกว่าจะมีทางเลือกอื่นเพียงพอ
– แม้ว่าฟอสฟอรัสขาวไม่ถือว่าเป็น “อาวุธเคมี” เพราะทำอันตรายโดยอาศัยความร้อนและเปลวไฟเป็นหลัก แต่ก็ถือว่าเป็นอาวุธชนิดหนึ่ง ตามหลักปฏิบัติสากล ถือว่ารัฐต่างๆ ต้องใช้มาตรการป้องกันที่เป็นไปได้ทั้งหมดเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายต่อพลเรือน ที่เกิดจากอาวุธเหล่านั้น
– โดยภายใต้ระเบียบข้อ 3 ของอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้อาวุธสงครามบางชนิด (Convention on the Prohibition of Use of Certain Conventional Weapons ; CCW) ก็จัดฟอสฟอรัสขาวไว้เป็นอาวุธที่ก่อให้เกิดไฟลุกได้ แต่มีการห้ามใช้เฉพาะกับเป้าโจมตี “ที่ใกล้กับพลเรือน” ห้ามยิงหรือนำมาทิ้งลงทางอากาศใส่ชุมชน แหล่งที่พักอาศัย แหล่งผู้ลี้ภัย ฯลฯ
– องค์กร Human Rights Watch และ รัฐภาคีของ CCW หลายแห่งแนะนำให้ปิดช่องโหว่ เรื่องที่มักจะมีการอ้างว่าใช้ฟอสฟอรัสขาวเพียงเพื่อสร้างม่านควัน (แต่จริง ๆ ก็เป็นอันตรายกับพลเรือน ดังเช่น ที่อิสราเอลยิงกระสุนฟอสฟอรัสขาวกว่า 200 ลูก เข้าไปในบริเวณที่มีประชากรหนาแน่น ในฉนวนกาซา ทำให้เกิดเพลิงไหม้เป็นบริเวณกว้าง) และขอให้เพิ่มข้อจำกัด ในการใช้อาวุธเพลิงไหม้ภาคพื้นดิน ให้มากขึ้น