Loading...

แชร์

Copied!

ปี 2569 ระวัง! “มุกลวงใหม่” กำลังมา “มุกลวงเก่า” จะหนักกว่าเดิม

16 ธ.ค. 68 | 17:14 น.
ปี 2569 ระวัง! “มุกลวงใหม่” กำลังมา “มุกลวงเก่า” จะหนักกว่าเดิม
มุกการหลอกลวงผ่านการเล่นกับอารมณ์และความรู้สึก เป็นกลยุทธ์ที่มิจฉาชีพมักจะเลือกใช้ เพราะเป็นวิธีการที่เห็นผลมากที่สุด จึงไม่แปลกในทุก ๆ ปีจะมีการโดนหลอกอยู่เรื่อย ๆ และมีมูลค่าความเสียหายมากขึ้นเช่นกัน การรู้เท่าทันจึงเป็นป้อมปราการด่านแรกที่จะช่วยให้ทุกคนสะกิดต่อมเอ๊ะ และมีสติก่อนที่ จะตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพแบบไม่รู้ตัว

หากพิจารณาจากสถิติคดีออนไลน์ที่มีมูลค่าความเสียหายสูงสุด 5 อันดับ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในช่วงวันที่ 1 มี.ค. 65 –  31 ต.ค. 68 จะพบว่า อันดับ 1 คือการหลอกให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 33,244 ล้านบาท รองลงมาคือการหลอกโอนเงินเพื่อทำงาน มูลค่ากว่า 14,985 ล้านบาท อันดับ 3 การหลอกให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล มูลค่ากว่า 8,814 ล้านบาท และอันดับ 4 การหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการที่ไม่เป็นขบวนการ มูลค่ากว่า 5,970 ล้านบาท

บทความนี้จะพามาอัปเดต “มุกหลอกลวง” ที่มิจฉาชีพใช้ในปี 2569 พร้อมวิธีป้องกันตัวเอง และคนใกล้ตัว กับ พ.ต.ท. วสุเทพ ใจอินทร์ รองผู้กำกับการสายตรวจ กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

ซื้อของออนไลน์ยังครองแชมป์ภัยหลอกลวง

ในปี 2569 พ.ต.ท. วสุเทพ ระบุว่า รูปแบบหลอกลวงที่ทำให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อมากที่สุดยังคงเป็น การซื้อของผ่านโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะบน Facebook ซึ่งมีเพจปลอมจำนวนมาก ยิ่งช่วงใกล้เทศกาลปีใหม่ หลายคนมักออกมา Shopping หรือหาของขวัญให้ตัวเอง ทำให้ตกเป็นเป้าของมิจฉาชีพได้ง่าย

ดังนั้น หากต้องการซื้อสินค้าออนไลน์ ควรเลือกแพลตฟอร์มที่มีระบบติดตามสถานะสินค้า รวมถึงระบบขอเงินคืนเมื่อได้รับของไม่ตรงปก เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกในการซื้อขายออนไลน์

พ.ต.ท. วสุเทพ ใจอินทร์ รองผู้กำกับการสายตรวจ กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

พ.ต.ท. วสุเทพ ใจอินทร์ รองผู้กำกับการสายตรวจ กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

จากซื้อสินค้า สู่วงจรหลอกลงทุน

ขณะเดียวกันมิจฉาชีพเริ่มยกระดับกลโกงให้ซับซ้อนขึ้น หลังจากเหยื่อติดต่อซื้อขายสินค้าแล้ว มักจะถูกชักชวนให้ร่วมกิจกรรมเหมือน “ลุ้นรางวัลพิเศษ” โดยเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ให้ร่วมสนุกกับร้านค้า ผ่านร้านปลอมที่ถูกสร้างขึ้นมา และมีการใช้ “หน้าม้า” และแชตกลุ่ม Line OpenChat เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

ซึ่งช่วงแรกผู้เสียหายมักได้รับเงินตอบแทนเล็กน้อยเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ก่อนถูกชักจูงให้เพิ่มเงินลงทุนเรื่อย ๆ จนสูญเงินทั้งหมด กลโกงประเภทนี้เป็นหนึ่งในรูปแบบที่มิจฉาชีพได้เงินจากเราไปเยอะที่สุด

Shopping

กลโกงเดิมที่กลับมาระบาด: มิเตอร์ไฟ–เงินบำนาญ

พ.ต.ท. วสุเทพ กล่าวว่า มุกนี้เป็นอีกมุกที่ถูกใช้ทุกปี เพราะในแต่ละเดือนหรือแต่ละเทศกาล มิจฉาชีพจะเปลี่ยนวิธีไปเรื่อย ๆ เป็นการเอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ เพิ่มรายละเอียดเล็กน้อย แต่สุดท้ายใจความเหมือนเดิม

กลโกงมิเตอร์ไฟฟ้ากับช่วงสิ้นปี 

กลลวงมิเตอร์ไฟฟ้า มิจฉาชีพจะใช้วิธีการโทรหาเหยื่อ ซึ่งถ้าสังเกตดี ๆ จะพบว่า เบอร์โทรศัพท์มิจฉาชีพมักขึ้นต้นด้วย 949 หรือเบอร์จากต่างประเทศที่มีตัวเลขขึ้นต้นแปลก ๆ แต่บางครั้งเราอาจเผลอรับสายโดยไม่ได้สังเกต ซึ่งพอรับแล้ววิธีพูดของเขามักจะถาม ชื่อ-นามสกุล เราก่อนว่าถูกต้องไหม และหากเราตอบว่าใช่ มิจฉาชีพก็รู้ทันทีว่าเราคุยกับเขาแล้ว

“เขาจะออกอุบายว่า เป็นเจ้าหน้าที่ของการไฟฟ้าจะมาเปลี่ยนมิเตอร์ให้ฟรี เพราะมิเตอร์ที่ใช้อยู่เป็นรุ่นเก่า เราฟังแล้วก็คิดว่าดี ได้เปลี่ยนของฟรี แต่เมื่อหลงเชื่อนัดวันกันเรียบร้อย เขาก็จะบอกต่อว่า มิเตอร์ที่เปลี่ยนให้จะมีเงินคืนให้อีกด้วย แต่ลูกค้าต้องแอด Line เข้าไป ซึ่งเป็นการพาเข้าสู่กระบวนการของมิจฉาชีพ” พ.ต.ท. วสุเทพ กล่าว

จากนั้นมิจฉาชีพจะชักชวนให้เหยื่อ “เปลี่ยนภาษามือถือ” โดยบอกว่า เป็นขั้นตอนของการขอรับเงินคืนผ่านแอปฯ ธนาคาร แต่ก่อนทำต้องใส่รหัสต่าง ๆ ซึ่งทำให้เหยื่อหลายคนถูกหลอกให้เปลี่ยนภาษามือถือ ซึ่งเมื่อเปลี่ยนภาษาและเปิดแอปฯ ธนาคาร และกดรหัสเพื่อรับเงินคืน แต่จริง ๆ แล้ว ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนของการโอนเงินออกจากบัญชี ซึ่งเหยื่อหลายคนไม่รู้ ทำให้ถูกหลอกไปโดยไม่รู้ตัว

“ถ้ามีใครโทรมาจากการไฟฟ้า บอกว่าจะคืนค่ามิเตอร์ แล้วให้เปลี่ยนภาษาในเครื่องมือถือ รู้ได้เลยว่าเป็นมิจฉาชีพ ” พ.ต.ท. วสุเทพ กล่าว

มิเตอร์ไฟ

กลโกงเงินบำนาญและสวัสดิการผู้สูงอายุ

พ.ต.ท. วสุเทพ กล่าวถึงกลโกงนี้ ว่ามีลักษณะคล้ายกับกลโกงมิเตอร์ไฟฟ้า โดยกลุ่มเป้าหมายคือผู้สูงอายุที่อยู่บ้านคนเดียว หรืออยู่กับลูกหลาน แต่ในวันนั้นบังเอิญอยู่ลำพัง มิจฉาชีพจะโทรมาหลอกลวงว่าจะคืนเงินบำนาญ แต่ต้องรับผ่านแอปฯ ธนาคาร แต่ก่อนจะถึงขั้นตอนการคืนเงินต้องเปลี่ยนภาษาก่อน แล้วให้ไปกดรหัสในแอปฯ ธนาคาร

“ผู้ใหญ่หลายท่านที่ทำไม่เป็น มักเชื่อว่าคนปลายสายเป็นเจ้าหน้าที่รัฐจริง ๆ จึงกดตามที่บอก สุดท้ายจบลงที่การโอนเงินออกจากบัญชี เรื่องนี้เกิดขึ้นทุกปี และถูกอัปเกรดวิธีเรื่อย ๆ โดยเฉพาะมุก “เปลี่ยนภาษา” ที่เพิ่งเจอในปีนี้ ดังนั้นปีหน้าก็ยังต้องระวังอยู่แน่นอน” พ.ต.ท. วสุเทพ กล่าว

พ.ต.ท. วสุเทพ กล่าวเสริมว่า การตั้งค่าโทรศัพท์ให้คุณพ่อคุณแม่ ส่วนใหญ่จะตั้งเป็นภาษาไทย เพื่อให้คุ้นชิน ทั้งการใช้งานโทรเข้า-โทรออก แต่เมื่อถูกหลอกให้เปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษ ผู้สูงอายุมักจะงงทันทีว่าปุ่มต่าง ๆ คืออะไร

“แม้แต่ผมเองที่ใช้มือถือภาษาอังกฤษมาตลอด พอเปลี่ยนเป็นภาษาไทยก็ยังงง ดังนั้นเมื่อผู้ใหญ่เจอการเปลี่ยนภาษากะทันหัน ก็จะไม่รู้ว่าปุ่มหรือรหัสที่กดคืออะไร ทำให้เชื่อคนปลายสายง่ายมาก และสุดท้ายโอนเงินออกไป โดยคิดว่าโดนแอปฯ ดูดเงิน ทั้งที่จริงแล้วเป็นเพียงการเปลี่ยนภาษาและกดโอนเงินออกไปโดยไม่รู้ตัว” พ.ต.ท. วสุเทพ กล่าว

เยาวชน เป้าหมายใหม่ที่น่ากังวลที่สุด

อย่างไรก็ตาม กลุ่มเด็กและเยาวชน ในปีหน้าก็ยังเป็นกลุ่มที่มีความน่ากังวลสูง เพราะขณะนี้พวกเขากลายเป็นเป้าหมายหลักของมิจฉาชีพไปแล้ว มิจฉาชีพรู้ดีว่าเยาวชนหลอกได้ง่าย และมักใช้วิธี “ข่มขู่” ว่าเด็กมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษา มิจฉาชีพมักเจาะจงว่าจะหลอกมหาวิทยาลัยไหน เมื่อหลอกคุยกับเด็กได้สำเร็จ ก็จะได้ข้อมูลว่าเรียนที่ไหน มีเพื่อนเป็นใครบ้าง แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นไปหลอกเพื่อนของเหยื่อต่อเป็นทอด ๆ 

พ.ต.ท. วสุเทพ ใจอินทร์ รองผู้กำกับการสายตรวจ กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พ.ต.ท. วสุเทพ ใจอินทร์ รองผู้กำกับการสายตรวจ กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ปีที่ผ่านมา นักศึกษามหาวิทยาลัยโดนหลอกเป็นจำนวนมาก หลายคนไปแจ้งความทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังถูกหลอก เรื่องที่โดนมากที่สุดคือการถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน โดยมิจฉาชีพมักใช้ช่องโหว่จากการที่เด็กไปเล่นแอปฯ ต่าง ๆ หรือเสี่ยงดวงในออนไลน์ แล้วนำข้อมูลมาใช้ข่มขู่จนเหยื่อยอมทำตาม เพราะฉะนั้น หากในบ้านมีเด็กหรือเยาวชน ต้องเตือนไว้เลยว่า ใครโทรมาบอกว่าเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงิน ให้รู้ทันทีว่าเป็นมิจฉาชีพ พ.ต.ท. วสุเทพ กล่าว

เมื่อถูกหลอก ควรทำอย่างไร? 

เมื่อรู้ว่าถูกหลอกขั้นตอนแรกคือ โทรสายด่วน 1441 เพื่อแจ้งข้อมูล โดยเจ้าหน้าที่จะประสานงานกับธนาคารให้ทันที สิ่งที่เราต้องเตรียมคือข้อมูลบัญชีธนาคารที่โอนไป จากนั้นเงินจะถูก ‘อายัด’ ไว้ 72 ชั่วโมง

ต่อมา เจ้าหน้าที่จะนัดหมายให้ไปติดต่อสถานีตำรวจที่อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบ ขั้นตอนนี้สำคัญมาก หากเราไม่ไปพบตำรวจ ระบบจะตัดเรื่องออกทันที ถือว่าเราไม่ติดตามคดี ดังนั้นต้องไปสถานีตำรวจเพื่อให้เจ้าหน้าที่เริ่มติดตามบัญชีม้า ตำรวจจะออกหมายเรียกเจ้าของบัญชีเหล่านั้นมาชี้แจงว่า เงินถูกถอนหรือโอนไปที่ใด ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะเพิ่มโอกาสให้เราได้เงินคืน และคดีจะต้องดำเนินไปจนถึงที่สุด เพื่อให้เรื่องเข้าสู่ศาลและสามารถเข้าสู่กระบวนการ ‘เฉลี่ยคืนทรัพย์’ ของ ปปง. ในลำดับสุดท้าย

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มิจฉาชีพไม่หยุดเพียงการหลอกครั้งแรก แต่มี “ก๊อกสอง” ตามมาทันที โดยปลอมเป็นตำรวจ ทนาย หรือเจ้าหน้าที่ธนาคาร อ้างว่าจะช่วยเอาเงินคืนได้ แต่ต้องโอนเงินเพิ่มเพื่อปลดล็อก บางรายปลอมเป็นผู้ต้องหา บอกว่ายอมรับสารภาพและจะช่วยยื่นเรื่องให้ ปปง. แต่ขอเงินก่อนหนึ่งก้อนเพื่อดำเนินการ ดังนั้น หากพบการติดต่อแบบนี้ อย่าเชื่อเด็ดขาด