EN

แชร์

Copied!

ตรวจสอบแล้ว: ภาพทักษิณฯ รับเหรียญจากฮุนเซน ถูกแชร์ซ้ำช่วงตึงเครียดไทย – กัมพูชา

19 มิ.ย. 6811:50 น.
การเมือง#ข่าวปลอม
ตรวจสอบแล้ว: ภาพทักษิณฯ รับเหรียญจากฮุนเซน ถูกแชร์ซ้ำช่วงตึงเครียดไทย – กัมพูชา

พบภาพเก่า "ทักษิณ" รับเหรียญอิสริยยศจาก "ฮุนเซน" ถูกนำมาแชร์ซ้ำในช่วงสถานการณ์ตึงเครียด ไทย-กัมพูชา แท้จริงเป็นข่าวเก่าปี 54

จากสถานการณ์การตึงเครียดไทย-กัมพูชา พบเฟซบุ๊กมีการแชร์ภาพ สมเด็จฯ ฮุนเซน มอบเหรียญอิสริยยศ ให้กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมข้อความระบุว่า “#เขาพระวิหารทั้ง 2 ท่าน สร้างคณูปการแก่กัมพูชา จนได้รับเหรียญอิสริยยศ พวกเราคนไทย ควรร่วมภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง” จนทำให้มีการแสดงความคิดเห็น 19,000 ครั้ง แสดงความคิดเห็น 75,000 ครั้ง แชร์กว่า 2,800 ครั้ง (ลิงก์บันทึก)

จากการตรวจสอบเรื่องนี้ Thai PBS Verify พบว่าเป็นข่าวปลอม ที่บิดเบือนข้อมูล โดยมีข้อมูลจริงคือ นายทักษิณ ชินวัตร ได้รับเหรียญอิสริยยศหลังเขาพระวิหารขึ้นทะเบียนมรดกโลก ส่วนข้อมูลเท็จคือ ไม่ได้รับรางวัลเพราะสร้างคุณูปการให้กับกัมพูชา แต่เป็นการส่งเสริมสันติภาพและความร่วมมือในอาเซียน

Thai PBS Verify พบแหล่งที่มาข่าวปลอมจาก : Facebook

ตรวจสอบแล้ว: ภาพทักษิณรับเหรียญจากฮุนเซน ถูกแชร์ซ้ำในช่วง ไทย-กัมพูชา ตึงเครียด

ภาพ นายทักษิณ ชินวัตร และ นายนพดล ปัทมะ รับเหรียญอิสริยยศที่กัมพูชา

จากการตรวจสอบบัญชี Facebook พบว่ามีเฟซบุ๊กที่มีผู้ติดตาม 160,000 คน โพสต์ข้อความและภาพดังกล่าวเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 68 ซึ่งส่วนใหญ่เนื้อหาในเพจเกี่ยวกับการเมือง มีทั้งการแชร์ข่าว และการไลฟ์พูดคุยประเด็นการเมือง

เมื่อทำการตรวจสอบภาพดังกล่าว ด้วยเครื่องมือตรวจสอบภาพ Google Lens พบว่า ภาพดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่ สมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ณ ขณะนั้น ได้ทำพิธีมอบเหรียญอิสริยยศด้านการอุทิศตนเพื่อสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคเอเชีย แก่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.การต่างประเทศ รวมทั้ง 8 ผู้นำทางการเมืองในภูมิภาคอาเซียน อาทิ มูฮัมเหม็ด ยูซุฟ คัลลา อดีตรองประธานาธิบดีอินโดนีเซีย, โฮเซ่ เดอ เวเนเซีย จูเนียร์ ประธานและหัวหน้าคณะผู้บริหารแคปดิ รวมทั้งผู้นำทางการเมืองจาก มาเลเซีย, เกาหลีใต้ และปากีสถาน ซึ่งเคยรายงานไว้เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 54 ที่ผ่านมา

ภาพดังกล่าวเป็นภาพถ่ายของ TANG CHHIN SOTHY ถูกเผยแพร่บนเว็บไซต์คลังภาพของ AFP เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 54  (ลิงก์บันทึก นี่ และ นี่)

ตรวจสอบแล้ว: ภาพทักษิณรับเหรียญจากฮุนเซน ถูกแชร์ซ้ำช่วงตึงเครียดไทย-กัมพูชา

อย่างไรก็ตามเราพบว่ามีการใช้ภาพนี้ประกอบรายงานข่าวในสำนักข่าวอื่น ๆ เช่น  โพสต์ทูเดย์ sanook และ กรุงเทพธุรกิจ 

สำหรับเหรียญอิสริยยศด้านการอุทิศตนเพื่อสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคเอเชียของกัมพูชา (Grand Order of National Merit) เป็นรางวัลสูงสุดที่มอบให้แก่บุคคลหรือองค์กรที่มีผลงานโดดเด่นในการส่งเสริมสันติภาพ และความร่วมมือในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในกรอบความร่วมมือของอาเซียน (ลิงก์บันทึกที่ นี่ และ นี่ )

โดยบุคคลหรือองค์กรที่สนใจสามารถเสนอชื่อผ่านกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศของกัมพูชา (Ministry of Foreign Affairs & International Cooperation) โดยการเสนอชื่อจะต้องมีเอกสารสนับสนุนที่ชัดเจน และแสดงถึงผลงานที่มีผลกระทบเชิงบวก ต่อการส่งเสริมสันติภาพและความร่วมมือในภูมิภาค

โดยวันดังกล่าวมีผู้ได้รับเหรียญนี้จำนวน 10 คน ได้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย, มูฮัมเหม็ด ยูซุฟ คัลลา อดีตรองประธานาธิบดีอินโดนีเซีย, นายโฮเซ เดอ เวเนเซีย จูเนียร์ ประธานและหัวหน้าคณะผู้บริหารแคปดิ, นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของประเทศไทย และผู้นำทางการเมืองจากอินโดนีเซีย, มาเลเซีย, เกาหลีใต้ และปากีสถานอีก 6 คน

ตรวจสอบแล้ว: ภาพทักษิณรับเหรียญจากฮุนเซน ถูกแชร์ซ้ำในช่วง ไทย-กัมพูชา ตึงเครียด

ภาพแสดงผู้ที่ได้เหรียญอิสริยยศด้านการอุทิศตนเพื่อสันติภาพ ในภูมิภาคเอเชียของกัมพูชา (จากซ้ายไปขวา) คนที่ 1 คือ นายโฮเซ เดอ เวเนเซีย จูเนียร์ ประธานและหัวหน้าคณะผู้บริหารแคปดิ คนที่ 2 มูฮัมเหม็ด ยูซุฟ คัลลา อดีตรองประธานาธิบดีอินโดนีเซีย คนที่ 3 นายทักษิณ ชินวัตร คนที่ 4 สมเด็จฯ ฮุนเซน คนที่ 5 นายนพดล ปัทมะ คนที่ 6 เกียรติ ชุน รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจและการคลังของกัมพูชา คนที่ 7 ซก อาน อดีตรองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา

 

นอกจากนี้ยังพบว่า ภาพและข้อความที่ถูกแชร์ออกไปนั้น ส่งผลให้มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นเชิงลบต่อ นายทักษิณ ชินวัตร จำนวนมากเช่นกัน (ลิงก์บันทึกที่ นี่,นี่,นี่ และ นี่)

กระบวนการตรวจสอบ

  1. ตรวจสอบที่มาของภาพ: พบว่าเป็นภาพของ AFP  และ alamy
  2. ตรวจสอบกับแหล่งที่มาที่เชื่อถือได้: พบการรายงานข่าวเดียวกันในสำนักข่าวอื่น ๆ ซึ่งยืนยันว่า การมอบเหรียญดังกล่าวเป็นการมอบให้แก่บุคคลหรือองค์กรที่มีผลงานโดดเด่นในการส่งเสริมสันติภาพและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในกรอบความร่วมมือของอาเซียน

ผลกระทบของข้อมูลนี้ 

 1. ด้านการเมืองภายในประเทศ

  • กระตุ้นการถกเถียงในสังคมไทย: เนื่องจาก นายทักษิณ ชินวัตร เป็นบุคคลที่มีทั้งผู้สนับสนุนและผู้คัดค้าน การเผยแพร่ภาพและข้อมูลเกี่ยวกับการได้รับเหรียญเกียรติยศจากต่างประเทศ อาจถูกตีความต่างกันไป และนำไปสู่การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางความคิดในโลกออนไลน์อีกครั้ง

2. ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

  • อาจเกิดความเข้าใจผิดหรือถูกใช้ทางการทูต: ถ้าข้อมูลถูกนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง อาจกระทบต่อบรรยากาศความร่วมมือในระดับอาเซียน

3. ด้านสื่อและการตรวจสอบข้อมูล

  • สร้างความสับสนหากไม่ได้ตรวจสอบที่มา: เนื่องจากเป็นภาพเก่าที่เผยแพร่ในปี 2554 แต่บางเพจ/บุคคลอาจนำมาโพสต์โดยไม่ได้ระบุวันเวลาให้ชัดเจน ซึ่งอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าเป็นเหตุการณ์ล่าสุด
  • กระตุ้นการตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-Checking): เป็นตัวอย่างของข่าวหรือภาพที่มีความจริง แต่หากถูกนำเสนอในบริบทผิด อาจกลายเป็นข้อมูลบิดเบือน

4. ด้านความคิดเห็นของประชาชน

  • กระตุ้นการแสดงออกทางการเมืองบนโซเชียลมีเดีย: โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีแนวโน้มสนใจประเด็นการเมือง อาจเกิดการถกเถียง วิพากษ์วิจารณ์บุคคลในภาพอย่างกว้างขวาง
  • อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับบทบาทของกัมพูชาและความสัมพันธ์กับไทย

ข้อแนะนำเมื่อได้ข้อมูลเท็จนี้ ?

1. อย่าแชร์ต่อทันที

  • หยุดก่อนจะแชร์ คิดก่อนว่าข้อมูลมีแหล่งอ้างอิงชัดเจนหรือไม่ โดยเฉพาะหากเป็นภาพเหตุการณ์ทางการเมือง

2. ตรวจสอบแหล่งที่มา

  • ดูว่าโพสต์นั้นมาจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือหรือไม่
  • ตรวจสอบชื่อผู้ใช้ (เช่น เป็นบัญชีที่ได้รับเครื่องหมายยืนยันจาก Facebook หรือไม่)

3. ตรวจสอบวันที่และบริบทของภาพหรือข่าว

  • ภาพในกรณีนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2554 หากถูกนำมาใช้โดยไม่มีคำอธิบายว่าเป็นภาพเก่า ถือว่า “ทำให้เข้าใจผิด”

4. รายงานโพสต์ที่บิดเบือน

  • กด “รายงาน” (Report) บน Facebook หรือแพลตฟอร์มอื่น เพื่อให้ระบบตรวจสอบเนื้อหา

ข้อควรระวัง

  • สังเกตภาพหรือข่าวเก่า ที่นำกลับมาใช้ในบริบทใหม่ มักถูกใช้เพื่อกระตุ้นความรู้สึกและความคิดเห็นทางการเมือง
  • อย่าหลงเชื่อทันทีเพียงเพราะ “ดูน่าเชื่อถือ” เช่น มีโลโก้ข่าว, ใช้ภาษาทางการ, มีจำนวนยอดแชร์ยอดไลก์เยอะ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ยืนยันว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง