Loading...

แชร์

Copied!

ตรวจสอบแล้ว: โพสต์เฟซบุ๊กอ้าง “ตำรวจเกาหลีใต้จับกุมผีน้อยเขมร” แท้จริงสร้างจากคลิปเก่า+AI

18 ต.ค. 6810:00 น.
การเมือง#ข่าวบิดเบือน
ตรวจสอบแล้ว: โพสต์เฟซบุ๊กอ้าง “ตำรวจเกาหลีใต้จับกุมผีน้อยเขมร” แท้จริงสร้างจากคลิปเก่า+AI

Thai PBS Verify พบโพสต์เฟซบุ๊กอ้างแรงงานกัมพูชาออกมาประท้วงเรียกร้องความยุติธรรมจนถูกตำรวจเกาหลีใต้จับ จนสื่อออนไลน์รวมถึงอินฟลูฯ ชื่อดังหลงเชื่อ นำไปเผยแพร่จนถูกแชร์ต่อนับพันครั้ง แต่จากการตรวจสอบพบเป็นเพียงภาพที่สร้างจาก AI มาผสมกับภาพเหตุการณ์เก่าเพียงเท่านั้น

Thai PBS Verify พบแหล่งที่มาจาก : Facebook

เพจ Army Military Force โพสต์ภาพระบุว่า ชาวเน็ตเกาหลีแชร์ภาพอ้างตำรวจเกาหลีใต้จับกุมผู้ชุมนุมชาวกัมพูชา

Thai PBS Verify ตรวจสอบพบเพจเฟซบุ๊ก Army Military Force โพสต์ภาพพร้อมข้อความระบุว่า

“มีรายงานล่าสุดว่า ชาวเน็ตเกาหลีแชร์ภาพตำรวจเกาหลีใต้จับกุมผีน้อยเขมร พร้อมระบุว่า “แรงงานกัมพูชาเถื่อน ออกมาประท้วงเรียกร้องความยุติธรรมให้กับประเทศของเขา (กัมพูชา) ร่วมกับกลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 12 คน ถูกตำรวจจับในเช้าวันนี้”
.

เบื้องต้นตำรวจตั้งข้อกล่าวหา 3 กระทง ประกอบไปด้วย
.
1. ข้อหาลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย
2. ข้อหาไม่มีใบอนุญาตทำงาน
3. ข้อหาสร้างความวุ่นวายและก่อความไม่สงบ
.
นอกจากนี้ ตำรวจเกาหลีใต้เตรียมนำผีน้อยเขมรรายดังกล่าว ส่งฟ้องต่อศาลสูงต่อไป คาดมีโทษจำคุกไม่ตํ่ากว่า 10 ปี”

โดยภาพดังกล่าว เป็นภาพตำรวจเกาหลีใต้กำลังควบคุมตัวผู้ชุมนุมรายหนึ่ง ขณะกำลังถือผืนธงชาติกัมพูชา ซึ่งโพสต์ดังกล่าวมีผู้เข้ามาแสดงความรู้สึกไปกว่า 24,000 ครั้ง รวมถึงแชร์โพสต์ออกไปกว่า 2,100 ครั้งด้วยกัน ซึ่งนอกจากโพสต์ดังกล่าวแล้ว เรายังพบการแชร์ภาพดังกล่าวออกไปยังสื่อออนไลน์ รวมถึงอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังอีกด้วย

ภาพบันทึกหน้าจอแสดงโพสต์ของสื่อออนไลน์ (ซ้าย) และ โพสต์ข่าวดังกล่าวจากอินฟลูฯ ชื่อดัง (ขวา)

ภาพ “เหตุการณ์จริง” ถูกนำมาใช้กับภาพ “AI” 

เมื่อเรานำภาพดังกล่าวมาตรวจสอบผ่าน Google Lens พบว่าภาพดังกล่าวไปตรงกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 68 ซึ่งเป็นเหตุการณ์การชุมนุมของแรงงานชาวกัมพูชา ในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เพื่อเรียกร้องให้ไทยปล่อยตัวทหารกัมพูชาจำนวน 18 คน ที่ถูกควบคุมตัวได้ในช่วงการปะทะของทั้งสองประเทศ

ภาพบันทึกหน้าจอแสดงผลการค้นหาด้วย Google Lens ซึ่งตรงกับคลิปการชุมนุมของแรงงานกัมพูชาในเกาหลีใต้

เมื่อนำภาพจากโพสต์ดังกล่าวมาทำการตรวจสอบกับภาพของผู้ใช้เฟซบุ๊กชาวกัมพูชาที่ชื่อ Seang Sambath ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 68 ที่ผ่านมา พบว่า ทั้งสองภาพมีจุดที่ตรงกัน โดยเฉพาะอาคารสองหลังด้านขวาของภาพที่มีลักษณะเดียวกัน

ภาพจากโพสต์เท็จ (ซ้าย) เปรียบเทียบกับ ภาพจากผู้ใช้เฟซบุ๊กชาวกัมพูชา ที่โพสต์ภาพการชุมนุมเมื่อวันที่ 3 ส.ค. 68 (ขวา)

เรายังทำการตรวจสอบว่า สถานที่ดังกล่าวคือจุดใด โดยใช้จุดสังเกตภายในภาพของชาวกัมพูชา จนพบป้ายที่ชื่อ OSIM ติดอยู่บนอาคารในภาพดังกล่าว ซึ่งเมื่อนำคำในป้ายดังกล่าวมาตรวจสอบด้วยคำสำคัญ พบว่าชื่อดังกล่าวไปตรงกับบริษัทผลิตเก้าอี้นวด ซึ่งมีสาขาอยู่ในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ จากนั้นจึงนำที่อยู่ภายในเว็บไซต์ดังกล่าว มาค้นหาผ่าน Naver Maps ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันค้นหาสถานที่ของเกาหลีใต้ จึงพบว่าจุดที่ผู้ชุมนุมในภาพอยู่คือบริเวณด้านหน้าของ ศูนย์ราชการของกรุงโซลซึ่งยืนยันได้ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นวันที่ 3 ส.ค. 68 ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ (17 ต.ค. 68 ) แต่อย่างใด

ภาพจากโพสต์ของชาวกัมพูชาเมื่อวันที่ 3 ต.ค. 68 (บน) เปรียบเทียบกับ ภาพจากแผนที่ Naver Map (ล่าง) พบอาคารของบริษัท OSIM อยู่ภายในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้

ตัวอย่างแผนที่จริง

เป็นเพียงภาพที่สร้างจาก AI

นอกจากนี้เมื่อนำภาพดังกล่าวมาตรวจสอบด้วยเครื่องมือตรวจสอบภาพ AI จากเว็บไซต์ Sightengine ผลการตรวจสอบพบว่า 99% เป็นภาพที่ถูกสร้างจาก AI

ผลการตรวจสอบด้วยเครื่องมือตรวจสอบภาพ พบว่าภาพดังกล่าวถูกสร้างจาก AI

นักวิชาการชี้เข้าสู่ยุคข่าวสร้างความเกลียดชัง

รศ.อัศวิน เนตรโพธิ์แก้ว คณบดีคณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ให้ความคิดเห็นว่า ตอนนี้สังคมไทยโดยส่วนใหญ่คนกลุ่มหนึ่งถูกอารมณ์ชักนำ และมีเป้าหมายในการเสพและแสวงหาข่าวสาร เพื่อตอบสนองหรือบำบัดอาการที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ซึ่งได้ทำให้บรรยากาศทางสังคมวัฒนธรรมเมืองไทยในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมานี้ ได้ถูกปกคลุมไปด้วยเรื่องของความเกลียดชังทางวัฒนธรรม ที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้านคือ “กัมพูชา” อย่างชัดเจน ซึ่งหากถามว่าเป็นปรากฏการณ์ที่น่าห่วงใยหรือไม่ ก็ถือว่าน่าห่วงใย อีกทั้งที่มาของเรื่องดังกล่าว มาจากฐานของความเป็นอนุรักษ์นิยม ที่โน้มเอียงมาด้านนี้ในระยะหนึ่งแล้ว หมายความว่า ก่อนหน้านั้นบรรยากาศทางการเมืองไทยโดยส่วนใหญ่ยังคงเป็นประชาธิปไตย แต่เมื่อไปถึงจุดหนึ่งของความขัดแย้ง ที่ไม่สามารถหาทางออก และนำมาสู่การยึดอำนาจของกองทัพ ในการจัดการความขัดแย้งและแทรกแซงทางการเมือง ด้วยการใช้ยุทธศาสตร์ความเป็นอนุรักษ์นิยมที่นำการเมืองมาโดยตลอดในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมาเป็นอย่างน้อย จึงถือว่าถูกโน้มนำมาสู่กระแสความเป็นอนุรักษ์นิยมเป็นพื้นฐาน

รศ.อัศวิน เนตรโพธิ์แก้ว คณบดีคณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

รศ.อัศวิน เนตรโพธิ์แก้ว คณบดีคณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

อย่างไรก็ตามปีนี้มีสิ่งที่เป็นพิเศษเพิ่มขึ้นมา คือเมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างไทย – กัมพูชา ในช่วงกลางปี ได้ถูกสำทับเพิ่มด้วยความเป็นชาตินิยม เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราเห็นในปัจจุบันคือการแสดงออกทางสังคม ส่วนหนึ่งที่เห็นอย่างชัดเจนคือ การถูกภาวะทางอารมณ์ของความเป็นอนุรักษ์ และความเป็นชาตินิยมผสมกัน ฉะนั้นจึงเห็นได้ว่า ณ ตอนนี้เมื่อมีประเด็นใดหรือข่าวใด ที่มีความเกี่ยวข้องกับกัมพูชา หรือ เขมร มักจะดึงดูดความสนใจของคนจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นจำนวนมากในปัจจุบัน ให้เข้ามาบริโภคข่าวนั้น ๆ ได้ทันที เพราะเหมือนกับการตอกย้ำความต้องการที่จะเสพข่าว หรือเรื่องราวที่เกี่ยวกับเพื่อนบ้านที่ขัดแย้งกันอยู่ในปัจจุบัน

ความกระหายข่าวในปัจจุบัน ไม่เป็นไปตามปกติ และไม่เป็นไปอย่างมีวิจารณญาณ แต่กลับมีธงของผู้เสพ ที่ต้องการข่าวที่ตอกย้ำอารมณ์ความรู้สึกพื้นฐาน หรือความเป็นตัวตน หรืออัตลักษณ์ของชาติ ที่รู้สึกอยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้ ซึ่งถือเป็นคนจำนวนมาก เห็นได้จากเมื่อมีเสียงทัดทานหรือโต้แย้ง ก็จะถูกทัวร์ลงกระหน่ำอย่างชัดเจน ว่าไม่ใช่คนไทย ไม่รักชาติไทย โดยจะถูกกระแสเหล่านี้เข้ามาบทขยี้ในทันที

ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นว่า มีธงที่ตั้งอยู่แล้วว่า หากเป็นข่าวสารข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ เขมร หรือ กัมพูชา ต้องเป็นไปในทางที่ตรงข้ามกับเรา คือไทย และต้องเป็นสิ่งที่แย่กว่า หรือต่ำกว่า เพื่อสะท้อนกลับมาว่า ไทยจะต้องชนะในเกมนี้ หรือเหนือกว่าในเกมนี้ เพราะฉะนั้นปัจจุบันจึงไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดน เนื่องจากสถานการณ์ชายแดนไม่ได้เกิดขึ้นทุก ๆ วัน แต่กลับลามออกมาสู่ภายนอกและสังคมส่วนใหญ่ เห็นได้จาก การดึงเอาข่าวที่เกี่ยวข้องกับเกาหลีมาเกี่ยวข้องกับเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกัมพูชา ซึ่งนับจากนี้ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ไหนของโลก แต่หากเป็นข่าวด้านลบกับกัมพูชา หรือในทางเสียหาย เราก็พร้อมที่จะดึงข้อมูลเหล่านั้นขึ้นมาเป็นข่าว หรือดึงเข้ามาให้คนไปเสพหรือบริโภคข้อมูลเหล่านั้น

หากเทียบในมุมของการสื่อสารคือ การที่มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง ที่พร้อมที่จะรับสารเหล่านี้อยู่แล้ว และทำให้สื่อ ซึ่งในที่นี้รวมถึงสื่อมวลชน สื่อออนไลน์ และ Influencer ก็พร้อมที่จะเล่นเกมเหล่านี้ไปด้วยกัน ก็คือการป้อนข้อมูลเหล่านี้เข้าไป เนื่องจากเขารู้อยู่แล้ว ว่ากระแสของความสนใจมีสูง ซึ่งยอดไลก์ ยอดแชร์ ก็จะตามมาในโลกโซเชียล ซึ่งในจุดนี้เป็นเรื่องที่อันตรายเช่นเดียวกัน เพราะหากมองในเรื่องของจิตสำนึก หรือความเป็นไทย และการจะอยู่ร่วมต่อไปในอนาคต เหตุการณ์นี้ได้สะท้อนออกมาในมุมที่รุนแรง และชัดเจนมากทีเดียว ว่าเรามีความรู้สึกอย่างไรกับคู่กรณีในปัจจุบัน

เรื่องจริงเป็นอย่างไร?

ภาพที่ใช้ในโพสต์เป็นของจริง โดยเป็นภาพเหตุการณ์เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2568 ที่แรงงานกัมพูชาในเกาหลีใต้ ออกมาชุมนุมอย่างสงบ เพื่อเรียกร้องให้ไทยปล่อยตัวทหารกัมพูชา 18 นาย ที่ถูกควบคุมตัวจากเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดน ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าว ไม่มีรายงานการจับกุมแรงงานเถื่อนหรือการตั้งข้อหาใด ๆ รวมถึงไม่ปรากฏข้อมูลจากสื่อหรือหน่วยงานทางการในเกาหลีใต้ ว่าแรงงานในคลิปหรือภาพนั้นถูกจับกุม หรือมีโทษจำคุก 10 ปีตามที่โพสต์อ้าง

ขณะที่สถานที่เกิดเหตุยืนยันได้ว่าอยู่หน้าศูนย์ราชการในกรุงโซล โดยตรวจสอบจากแผนที่จริง และรายละเอียดของร้านค้าในภาพ ซึ่งตรงกับบริษัท OSIM ในเกาหลีใต้ ส่วนภาพที่ถูกนำมาโพสต์นั้น พบว่าบางส่วนของภาพถูกสร้างขึ้นโดย AI และจากการตรวจสอบด้วยเครื่องมือ Sightengine พบว่า 99% เป็นภาพที่สร้างจาก AI ไม่ใช่ภาพจริงจากเหตุการณ์นั้นทั้งหมด จึงสรุปได้ว่า ข่าวดังกล่าวเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง

กระบวนการตรวจสอบ

1. ตรวจสอบแหล่งที่มา

  • พบว่าโพสต์ดังกล่าวมาจากเพจชื่อ Army Military Force บน Facebook อ้างว่า “ชาวเน็ตเกาหลี” แชร์ภาพแรงงานกัมพูชาถูกจับ พร้อมระบุรายละเอียดที่ไม่มีแหล่งข่าวอ้างอิง

 2. ตรวจสอบภาพด้วย Google Lens

  • พบว่าภาพตรงกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2568 ซึ่งเป็นการชุมนุมของแรงงานชาวกัมพูชาในกรุงโซล เพื่อเรียกร้องให้ไทยปล่อยตัวทหาร 18 นาย ไม่ใช่เหตุการณ์จับกุมแรงงานผิดกฎหมายตามที่อ้าง

3. ตรวจสอบสถานที่ด้วยแผนที่จริง

  • วิเคราะห์ตำแหน่งจากองค์ประกอบในภาพ เช่น ชื่อป้าย OSIM มาค้นหาบริษัท OSIM ผ่านแอปฯ Naver Map ยืนยันได้ว่า ภาพถ่ายอยู่บริเวณหน้า ศูนย์ราชการกรุงโซล

4. ตรวจสอบภาพด้วย AI Detector (เช่น Sightengine)

  • พบว่า 99% ของภาพถูกสร้างหรือปรับแต่งโดย AI ยืนยันว่าภาพไม่ใช่ “ภาพข่าวจริง” อย่างที่อ้าง

ผลกระทบของข้อมูลเท็จ

 1. ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสาธารณะ

  • คนทั่วไปอาจเชื่อว่าแรงงานกัมพูชาในเกาหลีใต้ก่อความวุ่นวายและถูกจับกุมจริง

  • กระทบภาพลักษณ์ของแรงงานต่างชาติในต่างประเทศ

 2. กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

  • การโยงว่า “แรงงานเขมร” ประท้วงเพื่อประเทศตัวเองในดินแดนต่างชาติ อาจถูกตีความว่าเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมือง

  • ส่งผลต่อความรู้สึกของประชาชนทั้งสองชาติ และอาจทำให้เกิดความขัดแย้ง

 3. ลดความน่าเชื่อถือของข้อมูลข่าวสาร

  • เมื่อผู้คนรับรู้ว่าแชร์ข่าวปลอม อาจเลิกเชื่อข้อมูลจากโซเชียลทั้งหมด

  • หรือในทางกลับกัน อาจทำให้บางคนไม่สามารถแยกแยะข่าวจริงออกจากข่าวปลอมได้

ภาพบันทึกหน้าจอแสดงข้อความของผู้ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นต่อโพสต์ดังกล่าว

ข้อแนะนำเมื่อได้ข้อมูลเท็จนี้ ?

 1. หยุดก่อนแชร์

  • อย่าด่วนแชร์ต่อ แม้จะดูน่าเชื่อถือหรือน่าตกใจ

  • ข้อมูลที่มาแบบไม่มีแหล่งข่าวชัดเจนมักมีแนวโน้มบิดเบือน

 2. ตรวจสอบกับแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้

  • ใช้เครื่องมืออย่าง Google Lens, หรือ AI Detector

  • เปรียบเทียบกับรายงานจากสำนักข่าวหลัก

 3. ตั้งคำถามเสมอ

  • ใครเป็นคนโพสต์?

  • ข้อมูลนี้มาจากไหน?

  • มีหลักฐานหรือไม่?

  • มีสำนักข่าวใดรายงานข่าวนี้อีกไหม?

4. แนะนำผู้อื่นให้รู้เท่าทัน

  • แทนที่จะแชร์ต่อ ลองคอมเมนต์ใต้โพสต์เพื่อแจ้งว่าเป็นข้อมูลเท็จ

  • แชร์ลิงก์จากหน่วยงานที่ตรวจสอบแล้วให้คนรอบข้าง