วันนี้ (8 มิ.ย.2568) เวลา 10.00 น. มีรายงานว่า ที่บริเวณชายแดนด่านช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ทหารฝ่ายกัมพูชา ได้ติดต่อมายังกองกำลังสุรนารี เพื่อขอเจรจา ซึ่งฝ่ายกัมพูชา นำโดย พล.ท.สรัย ดึก รองผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ได้เชิญฝ่ายทหารไทย
โดย พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เข้าร่วมหารือ เพื่อเจรจาเกี่ยวกับกรณีปัญหาการรุกล้ำดินแดน ในพื้นที่พิพาทบริเวณช่องบก โดยทางกองกำลังสุรนารี ได้รายงานไปยัง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 และ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหาร เพื่อขออนุมัติ โดย ผบ.ทบ.ได้อนุมัติให้กองกำลังสุรนารี จัดทหารเข้าไปพูดคุย
จากการหารือเบื้องต้น ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงในประเด็นสำคัญ คือ ฝ่ายทหารกัมพูชาได้ยินยอมถอนกำลัง กลับไปยังจุดที่เคยประจำการอยู่เดิม ซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณที่เกิดเหตุปะทะ หรือแนวต้นพระยาสัตบรรณ ลึกเข้าไปในเขตแดนของประเทศกัมพูชา จุดดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายกัมพูชา เคยใช้เป็นแนววางกำลังฐานในอดีตมาโดยตลอด
นอกจากนี้ ฝ่ายกัมพูชายังแสดงความยินยอม ที่จะดำเนินการกลบคูเลตให้กลับคืนสู่สภาพธรรมชาติตามเดิม ตามข้อเสนอของฝ่ายไทย เพื่อเป็นการลดความตึงเครียดและสร้างบรรยากาศแห่งความร่วมมือ
ภายหลังจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันที่จะใช้ กลไกระดับคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น เป็นช่องทางในการหารือแนวทางบริหารจัดการพื้นที่อย่างเหมาะสม และยั่งยืนต่อไป
นอกจากนี้ทหารระดับปฏิบัติทั้งสองฝ่าย จะนัดพูดคุยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ทำให้สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น

มีรายงานว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม สั่งให้หน่วยงานด้านความมั่น เกาะติดสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการติดตามเฝ้าระวังมาตรการปรับเวลาเปิด-ปิดด่านถาวรในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดน รวมถึงกลุ่มคนที่จะเข้าไปเล่นการพนัน ในพื้นที่ควบคุมของหน่วยงานด้านความมั่นคง
หน่วยงานด้านความมั่นคง ชี้ว่า การปรับเวลาเปิด-ปิดด่านถาวร เพื่อให้เกิดความคล่องตัว ในการบริหารจัดการปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา แม้จะส่งผลกระทบกับประชาชนในพื้นที่ทั้ง 2 ฝ่าย
ทั้งนี้มาตรการดังกล่าวยังคาดหวังว่า กัมพูชาจะกลับไปทบทวนกับปัญหาที่เกิดขึ้น ก่อนนำมาสู่เวทีการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ในวันที่ 14 มิ.ย.นี้
ขณะเดียวกัน นายภูมิธรรม ได้ยกเลิกภารกิจเดินทางไป ประเทศฝรั่งเศส เพื่อประชุมทางทหาร และงานปารีส แอร์โชว์ ระหว่างวันที่ 15-19 มิ.ย.นี้ เพื่อติดตามสถานการณ์ชายแดน โดยเฉพาะการประชุม JBC ที่ประเทศกัมพูชา

ปชด.สนับสนุนภารกิจกองทัพเปิด-ปิดด่านชายแดน
ศูนย์อำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ศอ.ปชด.) จะสนับสนุนภารกิจของกองทัพบกและกองทัพเรือ ในการป้องกันอธิปไตย และปกป้องประชาชน ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดน โดยเฉพาะสนับสนุนมาตรการควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดน
ขณะเดียวกัน ศอ.ปชด. ได้ออก 2 มาตรการ คือ แจ้งให้ฝ่ายกัมพูชาเร่งรัดปราบปรามผู้ก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการค้ามนุษย์ในทุกพื้นที่ทันที จับกุมและบังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทำความผิดรวมถึงผู้สนับสนุนทั้งหมด และยกระดับมาตรการป้องกันและปราบปรามฯ อาทิ ตัดไฟ-ระงับสัญญาณอินเทอร์เน็ต-ควบคุมสินค้า และยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ

ก่อนหน้านี้ มีข้อมูลจาก สถาบันสันติภาพแห่งสหรัฐอเมริกา (USIP) ออกรายงานเมื่อปี 2566 ระบุว่า กัมพูชามีแรงงานในธุรกิจหลอกลวงออนไลน์มากกว่า 100,000 คน และมีรายได้จากธุรกิจนี้มากกว่า 12,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ คิดเป็นครึ่งหนึ่งของจีดีพีของกัมพูชา
ขณะที่ มูลนิธิอิมมานูเอล และ เครือข่าย รวบรวมข้อมูลตั้งแต่ต้นปี 2567 จนถึงปัจจุบัน พบว่า มีคนไทยขอความช่วยเหลืออ้างว่า ถูกหลอกไปทำงานคอลเซนเตอร์ที่กัมพูชา รวมกว่า 3,000 คน โดยทั้งหมดกระจายอยู่ใน 7 เมืองของกัมพูชา คือ ปอยเปต, สีหนุวิลล์, เกาะกง, บาเวต, กันดาร, กัมปง และ โอร์เสม็ด
อ่านข่าว : กรมการค้าต่างประเทศวิเคราะห์ผลกระทบ ปิดด่านชายแดนไทย–กัมพูชา
ศอ.ปชด.ย้ำใช้มาตรการเข้มข้น-สันติวิธี ยกระดับปราบ "อาชญากรรมข้ามชาติ–แก๊งสแกม–ค้ามนุษย์"