เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่ 146 สส.“รัฐบาลเสียงข้างน้อย” ภายใต้การนำของ “อนุทิน ชาญวีรกูล นายกคนที่ 32 จะต้องนำรัฐนาวา ฝ่าคลื่นลมอยู่ให้ครบ 4 เดือน ก่อนจะประกาศยุบสภาคืนอำนาจประชาชน กำหนดวันเลือกตั้งใหม่ในปี 2569 ตาม 5 เงื่อนไข MOA ข้อตกลงกับพรรคประชาชน
ในอดีตการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2518 หลัง ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีเสียงสส.ในสภา 72 ที่นั่ง ได้จัดตั้งรัฐบาลผสม 103 เสียง ด้วยการรวมเสียงกับพรรคอื่นเพื่อจัดตั้งรัฐบาล แต่ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาได้รับเสียงสนับสนุนในสภาฯไม่ถึงครึ่งหนึ่งจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ต้องสละสิทธิการจัดตั้งรัฐบาล
ส่วนพรรคกิจสังคม ที่มี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นหัวหน้าพรรคได้ สส. 18 คน แต่ได้รับการสนับสนุนจากสส.พรรคการเมืองอื่น ๆ สนับสนุน 152 คน จากสส.ทั้งหมด 269 คน ตั้งรัฐบาลได้ก็จริง แต่เนื่องจากพรรคฯมีเสียงข้างน้อย ทำงานยากมีพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรค อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องผลประโยชน์และความขัดแย้งทางการเมือง วันที่ 12 ม.ค.2519 ประกาศยุบสภาเลือกตั้งใหม่
หลังเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับเลือกกลับมา และกลับมาแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง ห่างเพียง 50 ปี การจัดตั้งรัฐบาลของ “ภูมิใจไทย” ในวันนี้มีเงื่อนไขแตกต่างและโจทย์ที่ยากต่างจาก “พรรคกิจสังคม”ในวันนั้น
29 ส.ค. 2568 “แพทองธาร ชินวัตร” นายกคนที่ 31 ถูกศาลรัฐธรรมตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งนายกฯ ปมคลิปเสียงสนทนา “ฮุน เซน -นายก” ตามมาด้วยการบินออกต่างประเทศของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯไปดูใบ เมื่อวันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมา ท่ามกลางการวิพากษ์วิจารณ์ว่า “หลบ” ไปตั้งหลักที่เมืองดูใบ
ในวันเดียวกัน (5 ก.ย. 2568) พรรคเพื่อไทยพยายามดีลทุกทางหวัง “ดัน” ชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายก ฯ แต่ดีลไม่ได้ไปต่อและจบลงด้วยมือพรรคส้ม “ประชาชน” ที่โหวตหนุน “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรค ภูมิใจไทยผ่าน 5 เงื่อนไขสำคัญที่ดีลกันมาก่อนหน้านี้ ผ่านลูกน้องคนสนิทของอดีตนายกฯ ทักษิณ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม และ “งูเห่า” เพื่อไทย, โดยมีพรรครวมไทยสร้างชาติและพลังประชารัฐที่หันกลับมาเป็นกองหนุน

ภายใต้เงื่อนไข “รัฐบาลอนุทิน” ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน นับจากวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ประกอบด้วยหากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ทำประชามติครม.ชุดใหม่ต้องดำเนินการออกเสียงประชามติเพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.)มาจากการเลือกตั้งภายในระยะเวลาไม่เกินวันเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วไป
ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าไม่จำเป็นต้องทำประชามติก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ครม.ชุดใหม่ พรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทยต้องร่วมกันผลักดันการแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อเปิดทางให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสสร.และต้องแล้วเสร็จในวาระของรัฐบาลชุดนี้ และ “ภูมิใจไทย” ต้องไม่ดำเนินการใดๆเพื่อจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก
ส่วนพรรคปชน.จะยังคงทำหน้าที่ฝ่ายค้านต่อไปแม้จะสนับสนุน “อนุทิน”เป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม ขณะที่เพื่อไทยยังจองกฐินไม่เลิกเข้าชื่อยื่นคำต่อร้อง “ศาลรัฐธรรมนูญ” ผ่าน “วันมะหะมัด นอร์มะทา” ประธานสภาผู้แทนราษฎรว่าการทำบันทึกข้อตกลง( MOA)ที่ “นายกฯ อนุทิน” และ “ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ”หัวหน้าพรรคประชาชน ตกลงเงื่อนร่วมกันนั้นเป็นการกระทำที่ “ขัดรัฐธรรมนูญ”จึงขอให้ศาลฯ วินิจฉัยว่า...

สมาชิกภาพการเป็น สส.ของนายกฯ อนุทิน หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ “ณัฐพงษ์” หัวหน้าพรรคประชาชน“สิ้นสุดลงเฉพาะตัว” ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (2) ประกอบมาตรา 185 (1) และ (2) คือ ขัดต่อรัฐธรรมนูญและเข้าข่ายครอบงำหรือแลกเปลี่ยนผลประโยชน์หรือไม่
ถือเป็นดาบแรกที่ฟันฉับ ลงมาทั้ง 2 พรรค ยังไม่รวมวิวาทะเดือดระหว่าง พริษฐ์ วัชรสินธุ์ สส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคประชาชนที่ออกมาชวนเพื่อไทยทำงานหนักร่วมกันในฐานะฝ่ายค้านเสียงข้างมาก
“การเมืองไทยควรมุ่งสู่การติดตามการรักษาสัญญา การตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาลและการผลักดันกฎหมายที่ก้าวหน้าในสภาฯ ให้เกิดผลแท้จริง แทนที่จะปล่อยให้การต่อสู้ทางการเมืองถูกลดทอนให้เหลือเพียงนิติสงครามเพื่อทำลายล้างกัน อันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในระยะยาว” ข้อความของพริษฐ์
ขณะที่ “ภูมิธรรม เวชยชัย” แกนนำพรรคเพื่อไทย โต้ว่า พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้านอยู่แล้ว แต่นายพริษฐ์ เป็นอะไรยังงง ๆ อยู่ ตกลงเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายอุ้มรัฐบาลเพราะต้องร่วมองค์ประชุมตลอด...และพรรคประชาชนควรทำจุดยืนของตัวเองให้ชัดเจนก่อน
แม้ล่าสุดวันนี้ (8 ก.ย.2568) ทางพรรคเพื่อไทยได้ขอรับคำร้องส่งศาลรัฐธรรม นูญวินิจฉัย MOA ระหว่างพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทยเพื่อขอนำกลับไปตรวจสอบรายชื่อแล้วก็ตาม แต่ยังเป็นที่น่าจับตาว่า จะเป็นดีลถอยเพื่อจบหรือรอรบต่อ
ท่ามกลางกระแส “เพื่อไทย” ไม่ยอมแพ้ วันนี้ (8 ก.ย. 2568) แพทองธาร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และอดีตนายกฯ เดินทางเข้าพรรคฯ ปลุกขวัญสส. โดยยืนยันว่าบิดาจะเดินทางกลับมาอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ยังไม่วายมีกระแสข่าวว่า ส่วนสส.บางส่วนของพรรคเพื่อไทย ได้จ่อเตรียมยื่นเรื่องร้องเรียน “นายกฯอนุทิน” เรื่องการครอบครองที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ และการใช้ถนนสาธารณะเป็นทางวิ่ง (Runway) ของอากาศยานในสนามบินขนงพระ จ.นครราชสีมา เนื่องจากสนามบินดังกล่าว ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของสนามกอล์ฟที่มีชื่อว่า แรนโช ชาญวีร์ (Rancho Charnvee) ซึ่งดีเอสไอได้เข้าไปตรวจสอบแล้ว และคดีอื่นๆที่เชื่อมโยงคนเกี่ยวข้อง

โดยเฉพาะ Rancho Charnvee Resort & Country Club ถูกระบุว่า เป็นสถานที่พักผ่อนซึ่งทักษิณ ,แพทองธาร และครอครัวชินวัตรเคยเดินทางไปพักผ่อนและพบกับ“อนุทิน” เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2567
ตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญ รัฐบาลอนุทินในฐานะฝ่ายบริหาร รัฐบาลต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งจึงจะทำงานได้ เนื่องจากตามระบบรัฐสภา ฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ อำนาจต้องรวมกันอยู่จุดเดียว คือ สภา ดังนั้นหากพรรคภูมิใจไทย ในฐานะพรรคแกนนำ ต้องการนำร่างกฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่งผ่านการพิจารณา โดยจะต้องใช้เสียงสนับสนุนเพื่อโหวตให้ผ่าน
จึงมีคำถามว่า หากเสียงสนับสนุนไม่พอใครจะโหวตให้และหากร่างกฎหมายถูกตีตกก็จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อรัฐบาลและอาจหมายถึงการต้อง"ลาออก" ขณะที่ฝ่ายค้านก็มีอาวุธที่ทรงอานุภาพ คือ การนับองค์ประชุมสภา
จึงเสมือนมรสุมรุมล้อม “อนุทิน” นายกฯ “เดอะแบก” คนใหม่หมาด ๆจะนำพา รัฐนาวาเสียงข้างน้อยลอยลำไปได้ไกลเพียงใด เมื่อ “อดีตนายกฯ ทักษิณ”ได้ กลับมาเพื่อเป็น “ร่มเงา”ให้กับพรรคเพื่อไทยได้ไปต่อ
อ่านข่าว
ชนะทุกแนวรบ “อนุทิน” นั่งนายกฯคนที่ 32 “กลยุทธ์” ค่ายสีน้ำเงิน
จับกระแสการเมือง: วันที่ 4 ก.ย.2568 โปรแดงเดือน 9 เลือก “ชัยเกษม” ยุบสภาทันที แย้มโผ ครม. “อนุทิน”