ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

บทเพลงประสานไมตรีจาก “หมู่บ้านต้งพันปี” แห่งกุ้ยโจว

บทเพลงประสานไมตรีจาก “หมู่บ้านต้งพันปี” แห่งกุ้ยโจว
ชนกลุ่มน้อยในจีนที่มีถึง 56 ชนเผ่า เป็นที่มาของความหลากหลายทางวัฒนธรรมจีน กลายเป็นต้นทุนสู่เส้นทางท่องเที่ยวหมู่บ้านวัฒนธรรม เปิดประตูรับผู้มาเยือนด้วยเสน่ห์ความงามต่างกัน เช่น ความเป็นชนบทโบราณของ “หมู่บ้านจ้าวซิง” ของชนเผ่าต้งที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลกุ้ยโจว
ชนเผ่าต้งสร้างบ้านไม้โบราณไว้นับ 1,000 ปี และปรับตัวเท่าทันโลกยุคใหม่ จนอยู่ในโมเดลพัฒนาชนบทของประเทศจีน

2 ชั่วโมงสุดท้ายก่อนดวงอาทิตย์จะลับฟ้า กลับเป็นช่วงเวลาเริ่มต้นของเสียงเพลงจากชนเผ่าต้ง ก้องดังขึ้นหน้าซุ้มประตูใหญ่ของ “หมู่บ้านจ้าวซิง” เป็นเสียงแทนคำเชื้อเชิญทุกคนมาล้อมวงและสนุกไปกับแม่เพลงสาวและนักดนตรีหนุ่มของหมู่บ้าน เพื่อสัมผัสวัฒนธรรมที่สืบทอดอยู่ใน “หมู่บ้านต้งพันปี” ในเขตปกครองตนเองกลุ่มชาติพันธุ์เหมียวและต้ง “เฉียนตงหนาน” มณฑลกุ้ยโจว ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน

แม้ปัจจุบันการเดินทางด้วยรถยนต์ออกจากกุ้ยหยาง เมืองหลวงของมณฑลกุ้ยโจว กว่าจะถึงหมู่บ้านใช้เวลาไม่น้อยกว่า 4-5 ชั่วโมง แต่ที่นี่กลับเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว เดินเที่ยวชมหมู่บ้านไม้โบราณ เพียงแค่นี้ก็ชวนให้คิดว่าอะไรกันแน่ ที่ดึงดูดผู้คนให้มาเยือนหมู่บ้านโบราณแห่งนี้แล้วนับล้านคน รวมถึงประธานาธิบดี "สี จิ้นผิง" ที่ไปเยือนหมู่บ้านด้วยตนเอง พร้อมกับคำชื่นชมว่า นี่คือ “จ้าวซิงโมเดล” หรือหมู่บ้านต้นแบบในการฟื้นฟูชนบทของจีน ที่มี “ความโบราณ แต่ก็ทันสมัย” ผสมผสานกันไปในวิถีชีวิตและการท่องเที่ยว

เรียงร้อย “บทเพลงใหญ่” ด้วยหัวใจชนเผ่าต้ง

ลองจินตนาการถึงบทเพลงพื้นบ้านที่มีแต่เสียงร้อง ไม่มีดนตรีบรรเลง แต่เพลงนั้นกลับก้องกังวานข้ามเขาโดยไม่ต้องอาศัยเครื่องขยายเสียงใด ๆ เป็นเสียงที่เปล่งจากใจ สะกดให้ทุกคนหยุดฟัง ทั้งที่ไม่เข้าใจความหมาย ซึ่งความประทับใจที่ได้ไปจากการฟังบทเพลง เป็นอีกเสียงสะท้อนจากคนไทยกลุ่มหนึ่งที่ร่วมเดินทางไปตามคำเชิญของรัฐบาลท้องถิ่นกุ้ยโจว เพื่อสำรวจเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ นอกเหนือจากเส้นทางเดิมที่เคยเที่ยวกุ้ยโจว

ในวันแรกของเส้นทาง 4 สถานที่ในโครงการ คือการพาไปค้างคืนที่หมู่บ้านจ้าวซิง และเย็นวันนั้นเองที่คนไทยในทริป International Youth Traditional Villages Travel ได้ยินเสียงบทเพลงของชนเผ่าต้ง จากแม่เพลงที่อยู่ในชุดสีสัน เสื้อผ้าสีสดใส มั่นใจที่จะเปล่งเสียงขับร้องเพลงและประสานเสียงได้อย่างมีเสน่ห์น่าฟัง ในเพลงมีท่อนร้องที่ใช้เสียงว่า กุ๊กู่ กุ๊กู กุ๊กู่ กุ๊กู สลับเสียงขึ้นลงทั้งชายหญิง เป็นเสียงสูงต่ำคล้ายโน้ตดนตรี ฟังราวกับเสียงนกร้องโต้ตอบกันในธรรมชาติ

คู่ของ “แม่เพลง แซ่ลู่” ที่เป็นทั้งนักแสดงระบำพื้นบ้านและไกด์ท้องถิ่น เล่าถึงบทเพลงของชนเผ่าด้วยความภูมิใจว่า

บรรพชนถ่ายทอดบทเพลงเหล่านี้ไว้ พร้อมส่งต่อกันรุ่นต่อรุ่นแบบปากต่อปากมานานนับพันปี คนในหมู่บ้านเรียกมันว่าเพลงใหญ่ หรือเพลงพื้นบ้านโบราณที่มีชีวิตชีวามาถึงปัจจุบัน

“ยิ่งภายหลังจากปี 2005 เพลงใหญ่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับยูเนสโก เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ทำให้บทเพลงพื้นบ้านเก่าแก่นี้ได้รับความสนใจขึ้นอีกมาก โดยเนื้อเพลงที่ขับร้องมีหลากหลาย เช่น บทชมธรรมชาติ บทเล่าเรื่องราววิถีของนาไร่ และปรับมาสู่การแสดงระบำพื้นเมือง”

เสียงเพลงและดนตรีเครื่องเป่า เล่าเรื่องราวของท้องถิ่นชนเผ่าต้งทุกค่ำคืน ภายในลานกลางชุมชนที่เปรียบดังโรงละครกลางแจ้ง ขายตั๋วเข้าชมในราคาเพียง 88 หยวน หรือราว 400 กว่าบาท ทำให้ปัจจุบันชนเผ่าต้ง มีบทเพลงใหญ่ช่วยเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาถึงหมู่บ้าน และเป็นเหมือนนามบัตรแนะนำตัวให้รู้จักว่า ชนเผ่าต้งคือใครในวัฒนธรรมจีน

“บ้านไม้ไร้ตะปู” ของชนเผ่าต้ง

“เผ่าต้ง” ในจีน มีมากกว่า 3 ล้านคนในปัจจุบัน สันนิษฐานว่ามีพัฒนาการมาจากยุคบุพกาล จนเปลี่ยนแปลงมาถึงสังคมศักดินาในสมัยราชวงศ์ถัง จนถึงราชวงศ์ชิง ที่รวมพื้นที่อาศัยของชาวต้งไว้เป็นเมืองในการปกครอง จนเมื่อประเทศเข้าสู่ความเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน พัฒนาการสังคมชนเผ่าต้งจึงได้รับผลกระทบจากระบบเศรษฐกิจหลังยุคสงครามฝิ่นในปี 1840 หรือเป็นการเข้าสู่ระบบสังคมยุคใหม่

ขณะที่การสื่อสารกันของคนในชนเผ่าจะใช้ภาษาต้ง หรือภาษาในตระกูลจีน-ทิเบต มีสำเนียงต้งเหนือและสำเนียงต้งใต้ ไม่มีตัวอักษรของตัวเอง แต่จะเขียนด้วยอักษรจีน ก่อนจะมาประดิษฐ์อักษรขึ้นภายหลังปี 1958 โดยที่ผู้คนกระจายตัวอยู่ในมณฑลต่าง ๆ และหลายพื้นที่ของมณฑลกุ้ยโจว แต่นับว่าหมู่บ้านจ้าวซิงเป็น “หมู่บ้านชนเผ่าต้งอันดับหนึ่งของจีน” ด้วยจำนวนประชากรที่มากกว่า 5,000 คน มีความเป็นมาย้อนไปได้ถึงสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ ปี 960-1127 และแม้จะเป็นหมู่บ้านชนบท แต่เมื่อเข้าไปในหมู่บ้านจะรู้สึกราวกับเดินอยู่ในเมือง ๆ หนึ่งที่มีเอกลักษณ์และจัดการตนเองได้อย่างดี

ถนนในหมู่บ้านสะอาดเป็นระเบียบ ทอดตัวยาวพานักท่องเที่ยวเดินลึกเข้าไปในหมู่บ้านได้อย่างเพลิดเพลิน จากวิวทิวทัศน์อาคารไม้ 2 ฝั่งถนน เป็นบ้านที่มีความสูงเท่าตึก 3 ชั้น ตัวอาคารยืนเด่นไล่เรียงกันไปตามทางเข้าหมู่บ้าน มองมุมสูงอาจเห็นแนวหลังคาบ้านใกล้ชิดกัน แต่แฝงด้วยความเงียบสงบและสวยงามของสถาปัตยกรรมบ้านไม้พื้นถิ่น สร้างขึ้นบนพื้นที่ราบและตามแนวเขาลดหลั่นกันไปด้วยความเข้าใจการอยู่กับธรรมชาติ ต้นไม้ยังโอบล้อมหมู่บ้าน สลับกับท้องทุ่งข้าวซ่อนตัวในหุบเขา แต่หากยิ่งไต่ความสูงจากหมู่บ้านขึ้นไปที่ความสูง 800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ก็จะพบ “นาขั้นบันไดถังอัน” ที่งดงามตามฤดูกาล เป็นเขตการท่องเที่ยวเชื่อมต่อกันและมีวัฒนธรรมหมู่บ้านเก่าแก่ใกล้เคียงกัน เป็นหมู่บ้านโบราณที่มีอายุ 600-900 ปี

ยอดหลังคาทรงสวยงามแปลกตาจากประตูหมู่บ้าน เรื่อยไปจนถึงสะพานไม้และหอกลอง แสดงถึงฝีมือช่างของชนเผ่าต้งที่ได้รับการยกย่องว่ามีฝีมืออย่างมาก ช่างไม้ของหมู่บ้านเชื่อมต่อส่วนประกอบของอาคาร บ้านเรือน หลังคาที่มีลักษณ์หกเหลี่ยมสลับกับสี่เหลี่ยม เป็นเครื่องไม้มุงด้วยกระเบื้องดินเผาซ้อนชั้นลดหลั่นระดับกันไปดูราวกับงานศิลปะ “โดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว”

ช่างไม้ในอดีตมีภูมิปัญญาในการสร้างบ้านยกสูงด้วยไม้จากต้นชง มีเสาค้ำเด่นสะดุดตา โดยอาศัยสร้างบนที่ดินเชิงเขาหรือริมน้ำ บ้านไม้จากต้นชงจึงถือว่าเป็นตัวแทนของสถาปัตยกรรมตามภูมิอากาศ เพราะเป็นพื้นที่ที่ฝนตกชุก อากาศชื้น จึงต้องออกแบบบ้านและวัสดุสร้างที่ช่วยป้องกันความชื้น ป้องกันแมลงและป้องกันน้ำหลาก เป็นที่มาของความคงทนของบ้านยกสูงข้ามยุคสมัยมาถึงปัจจุบัน โดยแบบอาคารใหม่ ๆ จะสร้างอย่างกลมกลืนไปกับอาคารเก่า เพื่อคงบรรยากาศความงามของหมู่บ้านไม้โบราณ 1,000 ปี

ผืนผ้าย้อมครามและเครื่องเงินจากภูมิปัญญาชนเผ่าต้ง

กระแสหนุ่มสาวคืนถิ่น หลังผ่านการร่ำเรียนสำเร็จ มีความรู้จากเมืองใหญ่ กลับสู่ชนบทอันกว้างใหญ่ของจีน เพิ่มขึ้นอย่างมากในรอบ 10 ปีมานี้ ทำให้ในหมู่บ้านมีคนรุ่นใหม่เข้ามาเป็นเจ้าของกิจการ บางแห่งลงทุนทำเอง และบางแห่งทำผ่านการเช่าอาศัยบ้านจากผู้สูงอายุผู้เป็นเจ้าของบ้านเดิมที่ได้ส่วนแบ่งค่าเช่า บางบ้านเฉลี่ยปีละไม่น้อยกว่า 100,000 หยวน หรือราว 500,000 บาท นำบ้านมาทำกิจการร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้า ร้านเครื่องเรือน และบางแห่งนำมาทำงานผ้ามัดย้อม ผ้าบาติก ผ้าทอ เพิ่มจากศูนย์จัดแสดงวัฒนธรรมและกิจการสิ่งทอ งานย้อมผ้าและงานเย็บปักชนเผ่าต้งที่มีอยู่แล้ว

นักท่องเที่ยวสามารถชมการทำผ้ามัดย้อม การเขียนลายผ้าบาติก และสามารถเขียนผ้าเองในแบบเทคนิคของชนเผ่าต้งได้จากร้านผ้าในหมู่บ้าน ซึ่งตามเทคนิคโบราณของผู้เฒ่าผู้แก่จะใช้วิธีย้อมครามและถักทอด้วยวิถีพึ่งตนเอง เป็นกรรมวิธีที่ไม่ใช้สารเคมี แต่ใช้ใบพืชให้สีสัน และปัจจุบันหนุ่มสาวที่มีฝีมื จะนำผ้าเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมชุมชน แบ่งรายได้ในการสั่งซื้อผ้าทอให้กับผู้หญิงในท้องถิ่น ทำให้ภาพกิจการสิ่งทอชุมชนเป็นอีกบรรยากาศของหมู่บ้านที่จะเห็นผืนผ้าบาติก ผ้าลายคราม แขวนแสดงความงามทางศิลปะ

รวมถึงมีภาพของผู้หญิงและผู้สูงอายุ นำงานปักผ้ามาแปลงเป็นสินค้าที่มีมูลค่าขึ้น เช่น ลายปักสำเร็จรูปนำไปติดเย็บตกแต่งเสื้อผ้า เครื่องประดับจากลายปัก และถุงหอมที่ชาวบ้านนำมาแขวนและปักเย็บอยู่ริมทาง เริ่มต้นด้วยราคา 8-10 หยวน หรือไม่ถึง 50 บาท และเห็นวิถีชีวิตเรียบง่ายของคนต้งในชุดพื้นเมืองปะปนไปกับร้านค้าในกิจการสมัยใหม่ เช่น การเช่าชุดพื้นเมืองแบบต่าง ๆ ไว้แต่งถ่ายรูปสวย ๆ

เรื่องเล่าจากชุดพื้นเมืองที่มีหลายแบบ ยังสะท้อนวิธีคิดของชนเผ่าต้งที่มักทำจากผ้าฝ้ายย้อมคราม มีสีเข้มจนถึงดำ มีความพิเศษที่เทคนิคการย้อมและการทอที่ทำให้ผ้ามีลวดลายละเอียด เช่น ลายปักเรขาคณิตรูปต่าง ๆ คนต้งยังมีภูมิปัญญารักษาผ้าให้ทนทาน เงางาม กันน้ำ เคล็ดลับอยู่ที่การเคลือบด้วยไข่ขาวหรือเลือดสัตว์ เป็นความรู้ที่ส่งต่อกันมาในหมู่บ้าน เมื่อรวมกับการสวมเครื่องเงินประดับกายจะแสดงสัญลักษณ์ของฐานะความมั่งคั่ง และยังเชื่อว่าช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้าย

ประตูการท่องเที่ยวบานใหม่ของบ้านต้งพันปี

แม้ว่าบ้านต้งพันปีหรือหมู่บ้านจ้าวซิง จะเป็นหมู่บ้านที่ได้รับการส่งเสริมเรื่องการท่องเที่ยวมานานจากความมีเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมบ้านไม้โบราณ ซึ่งได้รับการยกย่องว่าสวยติดอันดับ 1 ใน 6 ของหมู่บ้านชนบทโบราณที่สวยที่สุดในประเทศจีน จากนิตยสาร Chinese National Geography เมื่อปี 2005 และเป็นที่หมายของนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางไปหลบร้อน เนื่องจากสวยงามและเย็นสบายตลอดปี มีบริการด้านการท่องเที่ยวรองรับอย่างเป็นมาตรฐาน

หากในระดับนโยบายรัฐก็ยังเห็นศักยภาพของหมู่บ้านจ้าวซิง จากการที่ปี 2024 มีนักท่องเที่ยวไปเยือนถึง 1.02 ล้านคน มีรายได้เกิน 1,000 ล้านหยวน หรือราว 5,000 ล้านบาท และเป็นที่ตั้งของโรงแรมมากกว่า 320 แห่ง ซึ่งส่วนหนึ่งปรับปรุงบ้านมาเป็นโฮมสเตย์ รวมถึงร้านอาหารมากกว่า 50 แห่ง จนเห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม ทั้งรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นกุ้ยโจวไม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะตัวเลข เพราะตามนโยบายฟื้นฟูชนบท มองว่าวัฒนธรรมคือกุญแจดอกสำคัญที่จะไขการฟื้นฟูชนบทจีนอย่างยั่งยืน ซึ่งจะต้องปกป้องวัฒนธรรมชาติพันธุ์ พร้อมกับพัฒนาสินค้าในอุตสาหกรรมหมู่บ้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อให้คนในหมู่บ้านมีรายได้จากการท่องเที่ยว และส่งเสริมให้คนต่างชาติได้รู้จักแหล่งท่องเที่ยวกุ้ยโจว ผ่านคลิปทางโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย

น้ำอ้อย บุลสถาพร ผู้สื่อข่าวชำนาญการ ศูนย์สื่อศิลปวัฒนธรรม

อ่านข่าว

แลนด์มาร์คใหม่ “ฮวาเจียง” สะพานแขวนสูงที่สุดในโลกแห่งกุ้ยโจว

คราฟท์มิวเซียมในฝันของ "สมลักษณ์ ปันติบุญ" ที่ดอยดินแดง

“ถ้าไม่มีใครดู ฉันจะดูเอง” พระดำรัส “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” พลิกฟื้นโขน