ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ สุดสัปดาห์นี้ คืนวันอาทิตย์ 11 พ.ค.68 เวลา 22.30 น. มีซูเปอร์บิ๊กแมตช์ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านพบ อาร์เซนอล รองจ่าฝูง ที่ยังต้องการคะแนนเพื่อพื้นที่โควตาการไปเล่นฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ในฤดูกาลหน้า Thai PBS นำสถิติและเกร็ดน่ารู้ของทั้งสองทีมมาบอกกัน
“ลิเวอร์พูล - อาร์เซนอล” เทียบสถิติที่เคยพบกัน
ลิเวอร์พูล - อาร์เซนอล เคยลงดวลแข้งกันมา ในทุกถ้วย ทุกรายการ กว่า 243 แมตช์ เป็นลิเวอร์พูลที่เอาชนะไปได้ 95 ครั้ง และอาร์ซนอลเอาชนะไป 83 ครั้ง ที่เหลือเสมอกันไป 65 ครั้ง
การพบกันครั้งแรกของ ลิเวอร์พูล - อาร์เซนอล ต้องย้อนกลับไปในปี 1893 อาร์เซนอล เปิดบ้านพ่ายแก่ลิเวอร์พูล ในศึกฟุตบอลดิวิชัน 2 ด้วยสกอร์ 0 – 5
ส่วนการพบกันครั้งล่าสุด ในศึกพรีเมียร์ลีก 2024/2025 อาร์เซนอลเปิดบ้านเสมอกับลิเวอร์พูลไป 2 – 2
“ลิเวอร์พูล - อาร์เซนอล” สถิติที่พบกันในพรีเมียร์ลีก
หากนับเฉพาะในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ลิเวอร์พูล - อาร์เซนอล พบกันมาแล้ว 65 ครั้ง เป็นลิเวอร์พูลที่เอาชนะไปได้ 25 ครั้ง ส่วนอาร์เซนอล ชนะไป 18 ครั้ง และผลจบลงด้วยการเสมอกันอีก 22 ครั้ง
ลิเวอร์พูลมีสถิติการเล่นในบ้านที่ดีกว่า โดยเปิดบ้านเอาชนะอาร์เซนอลไป 16 ครั้ง ด้านอาร์เซนอลเปิดบ้านเอาชนะลิเวอร์พูลได้ 12 ครั้ง ส่วนสถิติในเกมเยือน อาร์เซนอลบุกไปเอาชนะลิเวอร์พูลถึงถิ่นแอนฟิลด์ได้เพียง 6 ครั้ง ในขณะที่ลิเวอร์พูลบุกไปเอาชนะอาร์เซนอลในบ้านได้ 9 ครั้ง
Head to Head 5 นัดหลังสุดที่ ลิเวอร์พูล - อาร์เซนอล พบกัน เป็นอาร์เซนอลที่เอาชนะไปได้ 2 ครั้ง และเสมอกันไป 3 ครั้ง
- 27 ตุลาคม 2024 อาร์เซนอล 2 – 2 ลิเวอร์พูล
- 4 กุมภาพันธ์ 2024 อาร์เซนอล 3 – 1 ลิเวอร์พูล
- 23 ธันวาคม 2023 ลิเวอร์พูล 1 – 1 อาร์เซนอล
- 9 เมษายน 2023 ลิเวอร์พูล 2 – 2 อาร์เซนอล
- 9 ตุลาคม 2022 อาร์เซนอล 3 – 2 ลิเวอร์พูล
“ลิเวอร์พูล - อาร์เซนอล” คาด 11 ผู้เล่นตัวจริงลงสนาม
ลิเวอร์พูล เจ้าบ้าน มีนักเตะที่ยังมีปัญหาอาการบาดเจ็บอยู่คือ โจ โกเมซ ในคราวเดียวกัน จะได้นักเตะตัวหลัก ๆ กลับมาลงสนามในนัดนี้พร้อมหน้าพร้อมตา แต่จะมีเพียงตำแหน่งแบ็คขวา ที่คาดว่าจะใช้งาน คอเนอร์ แบรดลีย์ ลงตัวจริงก่อน เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาโนลด์ ที่เพิ่งมีข่าวการย้ายทีมในฤดูกาลหน้า โดย 11 ผู้เล่นตัวจริงที่คาดว่าจะลงสนาม ได้แก่
อลีสซง เบคเกอร์ (ผู้รักษาประตู), คอเนอร์ แบรดลีย์, เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, อิบราฮิมา โกนาเต, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, อเล็กซิส แมค อัลลิสเตอร์, ไรอัน กราเฟนแบร์ก, เคอร์ติส โจนส์, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, หลุยส์ ดิอาซ และ โคดี กัคโป
ด้านอาร์เซนอล จะไม่ได้ใช้งาน กาเบรียล มากัลเญส, ไค ฮาแวร์ตซ์ และ กาเบรียล เฆซุส ที่มีปัญหาบาดเจ็บ แต่จะได้ เบน ไวท์, ริคคาร์โด คาลาฟิออรี และจอร์จินโญ ที่หายจากอาการบาดเจ็บ กลับมาเป็นตัวเลือกในม้านั่งสำรอง โดยรายชื่อ 11 ผู้เล่นตัวจริงที่คาดว่าจะลงสนาม คือ
ดาบิด รายา (ผู้รักษาประตู), วิลเลียม ซาลิบา,ยาคุบ คิวิออร์, ไมล์ส ลูอิส สเคลลีย์, ยูเลียน ทิมเบอร์, โธมัส ปาร์เตย์, ดีแคลน ไรซ์, มาร์ติน โอเดการ์ด, บูกาโย ซากา, กาเบรียล มาร์ติเนลลี, มิเกล เมริโน
“ลิเวอร์พูล - อาร์เซนอล” ปืนใหญ่จะกู้ศรัทธา หรือหงส์แดงจะปราบผู้มาเยือน
ลิเวอร์พูล - อาร์เซนอล ถือเป็นคู่ถูกที่ แต่ผิดเวลา เนื่องจากลิเวอร์พูล ที่ในเวลานี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2024/2025 เป็นที่เรียบร้อย โดยก่อนหน้านี้ ทั้งลิเวอร์พูลและอาร์เซนอล ต่างก็เป็นคู่แข่งที่ไล่ล่าเบียดแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษฤดูกาลนี้ ทว่าสุดท้าย อาร์เซนอลก็ไม่สามารถยืนระยะ เพื่อลุ้นแย่งแชมป์กับลิเวอร์พูลได้สำเร็จ
ทีมปืนใหญ่ - อาร์เซนอล ในเวลานี้ รั้งตำแหน่งรองจ่าฝูงในตารางอันดับคะแนน โดยลงเล่นไป 35 นัด มี 67 คะแนน ตามมาด้วยแมนฯ ซิตี ที่ทำแต้มไล่เบียดขึ้นมาที่ 64 คะแนน และยังมีนิวคาสเซิล ทีมในอันดับ 4 ที่มีอยู่ 63 คะแนน จากสถานการณ์เวลานี้ การลุ้นแย่งพื้นที่โควตาไปยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ยังคงมีความเข้มข้นอย่างมาก
ถึงตรงนี้ แม้อาร์เซนอลจะไม่มีลุ้นแชมป์ในรายการใด ๆ อีกแล้ว แต่อีก 3 นัดที่เหลือในลีก ยังต้องเน้นทุกเกม เพื่อให้มีคะแนนเพียงพอที่จะจบท็อป 4 ได้สิทธิ์ไปเล่นในศึกยูฟ่าแชมปียนสลีกในฤดูกาลหน้าให้จงได้
เกมนัดนี้ ลิเวอร์พูล พบ อาร์เซนอล จึงยังคงมีความหมาย แถมนี่ยังเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีของทีมระดับหัวตาราง ที่หากดูจากสถิติช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งลิเวอร์พูลและอาร์เซนอล ต่างผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะกันมาตลอด
แม้นัดนี้ลิเวอร์พูลจะได้เปรียบในการเล่นเป็นเจ้าบ้าน แต่อาร์เซนอลก็ทำผลงานได้ดีใน 5 นัดหลังสุดที่ทั้งคู่พบกันในลีก
ลิเวอร์พูล ดูเป็นต่อ แต่ 9 นัดหลังสุดที่ทั้งคู่พบกันในทุกถ้วยทุกรายการ เกมจบลงด้วยผลเสมอกันไปถึง 4 นัด จึงมีโอกาสสูงที่นัดนี้ ผลจะลงเอยด้วยการแบ่งแต้มกันไปอีกครั้งหนึ่ง
ติดตามซูเปอร์บิ๊กแมตช์ “ลิเวอร์พูล - อาร์เซนอล” คืนวันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม 2568 เวลา 22.30 น. แม้ลิเวอร์พูลจะคว้าแชมป์ไปแล้ว แต่งานนี้เพื่อศักดิ์ศรี ดีกรีความเดือด รับประกันร้อนแรงอย่างแน่นอน