“หน้าฝน” วนกลับมาเมื่อไหร่ ก็เป็นช่วงเวลาที่ “สัตว์มีพิษ” ทั้งหลายจะออกมาเริงร่า (?) ตามบ้านเรือนของเรา เพราะหนีจากน้ำท่วม ยิ่งเป็นบ้านที่มีมุมอับ หรือมีพุ่มไม้เยอะ ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะเจอสัตว์มีพิษมากเป็นพิเศษ
Thai PBS Care รวบรวมข้อมูลของ 4 สัตว์มีพิษ ประจำฤดูฝน ที่ทุกบ้านต้องระมัดระวัง พร้อมให้ข้อมูลครอบคลุม ไล่มาตั้งแต่จุดที่มีพิษ มาจนถึงวิธีการป้องกันอันตราย ส่งตรงจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อลดความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายจากสัตว์มีพิษทั้งหลายที่อยู่ใกล้ตัวคุณ
“งู” สัตว์มีพิษหน้าฝน อันตรายยืนหนึ่ง
ศ.นพ.วินัย วนานุกูล หัวหน้าศูนย์พิษวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลว่า สัตว์มีพิษที่มีความรุนแรงสูงสุดเป็นอันดับ 1 คือ "งู" ในบทความออนไลน์เรื่อง “สัตว์มีพิษในประเทศไทย” ที่เผยแพร่เมื่อเดือนมกราคม ปี พ.ศ. 2557
ข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พบว่า ในปี พ.ศ. 2566 มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาพยาบาล จากการถูกงูพิษและสัตว์มีพิษกัด ประมาณ 12,000 คน
พิษของงูอยู่ที่ต่อมน้ำลาย บริเวณฟันเขี้ยว ซึ่งสามารถทำลายระบบประสาท การแข็งตัวของเลือด และกล้ามเนื้อ โดยอาการแรกเริ่มอาจแตกต่างกันตามประเภทของงู ซึ่งหากได้รับพิษแล้วทำการช่วยเหลือไม่ทัน ก็อาจเสียชีวิตได้ในทันที
สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ได้เผยเทคนิคการแยกประเภทงูมีพิษหรือไม่มีพิษแบบคร่าว ๆ จากแผลที่ถูกงูกัด คือ งูที่ไม่มีพิษ จะเห็นแผลเป็นรอยถลอกบนผิวหนัง แต่หากเป็นงูที่มีพิษ แผลจะมีรอยเขี้ยว 2 จุดชัดเจน หรือมีเลือดซึมออกจากแผล โดยที่บริเวณรอบ ๆ รอยเขี้ยวมีสีคล้ำ หรืออาจพองเป็นถุงน้ำ
โดยพิษของงูจะส่งผลต่อร่างกายในด้านต่าง ๆ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
ประเภทที่ 1 พิษต่อระบบประสาท (Neurotoxin) ได้แก่ งูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยม และงูทับสมิงคลา เมื่อถูกกัด ทำให้แขนไม่มีแรง กระวนกระวาย ลิ้นเกร็ง พูดจาอ้อแอ้ ตามัว น้ำลายฟูมปาก เนื่องจากกล้ามเนื้อการกลืนเป็นอัมพาต อาจทำให้หยุดหายใจ และเสียชีวิตในที่สุด
ประเภทที่ 2 พิษต่อระบบการแข็งตัวของเลือด (Hematotoxin) ได้แก่ งูเขียวหางไหม้ งูแมวเซา และงูกะปะ อาการแรกเริ่มปวดแผลมาก มีเลือดซึมออกจากแผล เลือดออกจากอวัยวะต่าง ๆ เช่น เลือดกำเดา หรือมีเลือดซึมจากเหงือก นอกจากนี้อาจมีอาการไอ อาเจียน ปัสสาวะหรืออุจจาระเป็นเลือด ซึ่งเกิดจากภาวะระบบไหลเวียนล้มเหลว ทำให้เสียชีวิตได้
ประเภทที่ 3 พิษต่อกล้ามเนื้อ (Mytotoxin) ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดกล้ามเนื้อรุนแรง กล้ามเนื้อแข็ง ถ่ายปัสสาวะดำ (myoglobinuria) และมีโปตัสเซียมในเลือดสูง ส่วนใหญ่พบได้ในงูทะเล
เมื่อถูก “งู” กัดควรทำอย่างไร?
- ล้างแผลด้วยน้ำสะอาด
- ไม่ควรใช้ปากดูดเลือด หรือใช้ของมีคมกรีดเปิดปากแผล
- ไม่ควรใช้สมุนไพรพอกแผล หรือประคบน้ำแข็ง
- ไม่ควรใช้ผ้า หรือเชือกรัดเหนือบริเวณที่ถูกกัด เพราะจะทำให้แขนขาส่วนปลายขาดเลือดไปเลี้ยง
- เคลื่อนไหวร่างกายส่วนที่ถูกกัดให้น้อยที่สุด
- รีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
“ตะขาบ” เพชฌฆาต 100 ขา
ตะขาบเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังชนิดหนึ่ง มีลักษณะเด่นคือลำตัวแบ่งเป็นปล้อง และมีขามากกว่า 100 ขา
โดยจุดที่มีพิษของตะขาบ อยู่ที่เขี้ยวพิษ บริเวณปล้องแรกของลำตัว ทำให้เกิดอาการปวด บวม แดง ร้อน คัน และอาจมีไข้ต่ำ ๆ ได้ ความรุนแรงของอาการขึ้นอยู่กับขนาดของตะขาบและปริมาณพิษที่เข้าสู่ร่างกาย ยิ่งเป็นผู้ที่แพ้พิษของตะขาบ ยิ่งมีอาการรุนแรง
ผู้ที่แพ้พิษตะขาบ จะมีอาการบวมที่ใบหน้า หนังตา และริมฝีปาก มีผื่นขึ้นทั่วร่างกาย หายใจติดขัด มีอาการหน้ามืด และอาจเสียชีวิตได้
เมื่อถูก “ตะขาบ” กัดควรทำอย่างไร ?
- ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่ เพื่อชะล้างพิษออกจากบาดแผล
- ประคบเย็น เพื่อลดอาการปวด หรือบวมแดง
- รับประทานยาแก้ปวด
- หลีกเลี่ยงการใช้ปากดูดพิษ เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อในช่องปากได้
- หากอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการรุนแรง เช่น แน่นหน้าอก หายใจหอบ หรือคลื่นไส้-อาเจียน ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที
อีกสิ่งหนึ่งควรหลีกเลี่ยง นั่นคือวิธีกำจัดตะขาบด้วยการเหยียบ หรือทุบ เพราะตะขาบที่ถูกเหยียบจะปล่อยสารฟีโรโมนออกมา เพื่อดึงดูดให้ตะขาบตัวอื่น ๆ เข้ามาบริเวณที่ตะขาบตัวนั้นตาย จากที่วันนั้นจะได้กำจัดตะขาบแค่ตัวเดียว อาจต้อง ‘สแตนด์บาย’ รอกำจัดตะขาบตัวอื่น ๆ เพิ่มด้วย
“แมงป่อง” วายร้ายที่มีหางเป็นพิษ
แมงป่องมีรูปร่างคล้ายปู มีขนาดยาวประมาณ 2-10 เซนติเมตร ลำตัวประกอบด้วยส่วนหัวและอกรวมกัน ในขณะที่ส่วนท้องจะยาวเป็นปล้อง ๆ ส่วนปากมีลักษณะเป็นก้ามขนาดใหญ่คล้ายก้ามปู มีไว้สำหรับจับเหยื่อ และส่วนหางมี 5 ปล้อง
จุดที่มีพิษของแมงป่องอยู่ที่ส่วนปลายของปล้องสุดท้าย ซึ่งมีอวัยวะสำหรับใช้ต่อยและมีต่อมพิษอยู่ที่ส่วนปลาย โดยพิษของแมงป่องส่วนใหญ่เป็นสารประเภท Neurotoxin ทำลายเซลล์ประสาท และกล้ามเนื้อหัวใจ หลังถูกต่อย ทำให้ปวดแสบปวดร้อน บางครั้งจะเป็นรอยไหม้ คัน ชา ทำให้เกิดอาการไข้ขึ้น คลื่นไส้ และอาเจียน
หากพิษของแมงป่องเข้าสู่กระแสเลือด อาจทำให้เกิดอาการง่วงซึม เป็นอัมพาตบางส่วน กล้ามเนื้อเกร็ง น้ำลายไหล ชัก ความดันโลหิตสูง ปัสสาวะน้อย หัวใจเต้นเร็ว น้ำคั่งในปอด และอาจเสียชีวิตจากภาวะการหายใจล้มเหลว หรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบได้
เมื่อถูก “แมงป่อง” ต่อยควรทำอย่างไร ?
- ทำความสะอาดแผลและผิวหนังบริเวณรอบ ๆ ด้วยน้ำและสบู่อ่อน
- ประคบเย็น เพื่อลดอาการปวดบวม และลดการแพร่กระจายของพิษ
- ยกอวัยวะข้างที่มีแผลจากแมงป่องต่อยให้อยู่ในระดับเดียวกับหัวใจ เพื่อลดอาการปวดบวม และป้องกันไม่ให้พิษจากแมงป่องแพร่กระจายไปส่วนอื่น ๆ
- รับประทานยาแก้ปวด เพื่อบรรเทาอาการปวดหรือความรู้สึกไม่สบายตัว
- ถ้ามีอาการปวดแผลมาก ควรรีบไปโรงพยาบาลโดยเร็ว
“แมลงก้นกระดก” สัตว์มีพิษที่พบได้บ่อยที่สุดในฤดูฝน
แมลงก้นกระดก หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ด้วงก้นกระดก” , “ด้วงก้นงอน” หรือ “ด้วงปีกสั้น” เป็นสัตว์มีพิษ ตัว Secret ที่พบได้บ่อยที่สุดในฤดูฝน ขนาดลำตัวยาวประมาณ 7-8 มิลลิเมตร มีสีดำสลับส้มเป็นปล้อง ๆ
เหตุผลที่เจ้าแมลงชนิดนี้ ได้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า “แมลงก้นกระดก” เป็นเพราะจุดเด่นของมันคือ “การยกก้นขึ้น” เล็กน้อย เมื่อไปเกาะสิ่งต่าง ๆ โดยเฉพาะหลอดไฟในบ้าน ก่อนจะร่วงหล่นลงมาบนพื้น
แมลงก้นกระดกจะปล่อยพิษที่มีชื่อว่า พีเดอริน (Pederin) ซึ่งมีลักษณะเป็นกรดอ่อน ๆ ทำให้ผิวหนังเกิดอาการระคายเคือง ปวดแสบปวดร้อน มีรอยไหม้หรือตุ่มน้ำเป็นผื่น หลังสัมผัสพิษประมาณ 8-12 ชั่วโมง คนที่แพ้พิษแมลงก้นกระดก อาจมีอาการรุนแรงกว่าปกติ เช่น เกิดแผลพุพอง คลื่นไส้อาเจียน หรือเริ่มมีไข้ แต่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
โดยส่วนมาก ผู้ที่ได้รับ “พีเดอริน” ของแมลงก้นกระดก เกิดจากการตีหรือขยี้ด้วยมือเปล่า ทำให้สารพิษสัมผัสผิวหนัง ดังนั้น วิธีกำจัดแมลงก้นกระดกที่ดีที่สุด คือการใช้ผ้าหรือกระดาษเขี่ยแมลงก้นกระดกทิ้ง แล้วรีบล้างเนื้อล้างตัวด้วยน้ำสะอาดให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้ผิวหนังระคายเคือง
หากถูกพิษของ “แมลงก้นกระดก” ควรทำอย่างไร ?
- จุ่มหรือแช่บริเวณที่ถูกพิษแมลงก้นกระดกในน้ำเย็น 5-10 นาที สลับกับการเป่าให้แห้ง
- หากมีอาการอักเสบรุนแรง ให้รีบไปโรงพยาบาลทันที
วิธีป้องกันอันตรายจาก “สัตว์มีพิษ” เบื้องต้น
สิ่งที่สัตว์มีพิษชื่นชอบที่สุด (ไม่ว่าจะในฤดูฝน หรือฤดูไหน ๆ ก็ตาม) คือพื้นที่ที่เป็นมุมอับ อยู่ลับตาคน หรือมีแสงลอดผ่านเข้ามาได้น้อย วิธีป้องกันอันตรายจากสัตว์มีพิษทั้งหลาย มีดังนี้
- สำรวจเสื้อผ้าและรองเท้าก่อนสวมใส่
- นอนบนที่นอนหรือเตียงสูงเหนือพื้นดิน
- ทำความสะอาดมุมอับและจุดเสี่ยงในบ้าน
- ถางหญ้าและตัดต้นไม้นอกบ้านให้โล่ง
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้แชร์เทคนิค วิธีการช่วยเหลือผู้ป่วย หรือผู้ที่ถูกสัตว์มีพิษในฤดูฝนกัด แต่ไม่รู้ว่าจะต้องจัดการอย่างไร โดยให้ประยุกต์ใช้หลัก 4จ. ได้แก่
- “จดจำ” ลักษณะสัตว์มีพิษที่กัด
- “จัดการ” ล้างแผลด้วยน้ำสะอาด
- “จำกัด” บริเวณที่ถูกกัด ไม่เกา ไม่ถู และเคลื่อนไหวให้น้อยที่สุด
- “แจ้ง 1669” เพื่อนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที เมื่อมีอาการรุนแรง
จากที่กล่าวมาข้างต้น คงทำให้เห็นแล้วว่า สัตว์มีพิษที่พบได้บ่อยในฤดูฝน ต่างก็มีอันตรายต่อชีวิตของเรา ในแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น วิธีการป้องกันภัยจากสัตว์มีพิษตั้งแต่เริ่มต้น อาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุด อย่างน้อยก็ดีกว่าการปล่อยให้เกิดอันตรายขึ้นมา แล้วค่อยมานั่งคิดหาทางแก้ไข ซึ่งในหลาย ๆ ครั้ง ก็อาจจะไม่ทันการแล้วก็เป็นได้
อ่านบทความสุขภาพ จาก Thai PBS Care
- เข้าใจอันตราย “ไข้หวัดใหญ่” เพื่อปลอดภัยจากไวรัสตัวร้ายหน้าฝน | Thai PBS NOW
- เรื่อง “คอ” ที่ควรรู้ | Thai PBS NOW
- มองมุมใหม่ 'ภาวะ Burnout' เมื่อการหมดไฟไปไกลถึงโลกรวน | Thai PBS NOW
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก
- กรมป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
- คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
- โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
- สภากาชาดไทย