8 สิงหาคม ค.ศ. 1988 คนเมียนมาจำนวนมหาศาลออกมาประท้วงต่อต้านรัฐบาลทหารที่ปกครองประเทศมานานหลายสิบปี การชุมนุมครั้งนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘การลุกฮือ 8888 (8888 Uprising)’
การลุกฮือ 8888 ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญของเมียนมา หรือ พม่า ยุคร่วมสมัยหลังจากที่ได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 1948 หากกล่าวโดยย่อ การลุกฮือ 8888 เริ่มต้นจากกลุ่มนักศึกษาปัญญาชนและความกระหายซึ่งประชาธิปไตยไม่ต่างจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองอื่น ๆ ของโลกช่วงสงครามเย็น อีกทั้งยังให้กำเนิดผู้นำทางความคิดคนสำคัญในประเทศ แต่สิ่งที่อาจต่างออกไปก็คือ การลุกฮือ 8888 ให้ความหวังเพื่อวันที่ดีกว่าแก่ชาวเมียนมาชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่ประเทศจะตกอยู่ใน ‘วัฏจักรชั่วร้าย’ ครั้งแล้วครั้งเล่า

บทโหมโรงก่อนการลุกฮือ 8888
หลังจากก่อรัฐประหารในปี 1962 นายพลเนวิน (Ne Win) ปกครองสหภาพพม่าด้วยระบบพรรคเดียวในนาม ‘พรรคโครงการสังคมนิยมพม่า (Burma Socialist Programme Party)’ ตัดขาดประเทศจากโลกภายนอก พร้อมบัญชาการกองทัพพม่า (Tatmadaw) และต่อสู้กับกองกำลังชาติพันธุ์ต่าง ๆ เนวินยังมองว่า ประชาชนไม่แข็งแรงมากพอที่จะตัดสินใจให้เมียนมาได้ ทว่าการปกครองของเนวินทำให้ประเทศ ‘อู่ข้าวอู่น้ำแห่งเอเชีย’ กลายเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดแห่งหนึ่ง และทุกอย่างย่ำแย่ลงเมื่อเนวินประกาศยกเลิกธนบัตรหลายประเภทในเดือนกันยายน 1987 เงินที่คนเมียนมาถือจึงกลายเป็นเศษกระดาษในพริบตา
กลุ่มนักเรียนนักศึกษาที่เก็บเงินไว้จ่ายค่าเทอมต่างโกรธเคืองกับสถานการณ์เช่นนี้ จึงเริ่มลงถนนประท้วง การเคลื่อนไหวใหญ่ระลอกแรก ๆ เกิดขึ้นในเดือนมีนาคม 1988 มีการกวาดล้างผู้ชุมนุม บางคนเสียชีวิต บางคนถูกจับกุม และรัฐบาลก็ประกาศปิดสถานศึกษาไป แต่ 3 เดือนต่อมาก็มีการประท้วงเกิดขึ้นอีก จนมาถึงวันที่ 23 กรกฎาคม 1988 นายพลเนวินลาออกจากตำแหน่งผู้นำประเทศ เขาให้สัญญาว่าจะเปิดทางให้ประชาธิปไตย แต่ก็ส่งสารไปถึงผู้ประท้วงเช่นกันว่า “หากทหารลั่นไกปืนขึ้นมา จะไม่ยิงขึ้นฟ้าแน่นอน”

นายพลเซน ลวีน (Sein Lwin) เจ้าของฉายา ‘คนฆ่าสัตว์แห่งย่างกุ้ง (Butcher of Rangoon)’ จากการใช้กำลังปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วงช่วงต้นปี 1988 ก็รับตำแหน่งต่อจากเนวิน ความอัดอั้นตันใจของกลุ่มนักศึกษาและประชาชนไม่ได้จางหายไป ในที่สุด 8 สิงหาคม 1988 ประชาชนทั่วประเทศก็ประท้วงหยุดงาน แม้แต่ข้าราชการบางส่วนและพระสงฆ์ก็ร่วมลงถนนกับคนหนุ่มสาว การลุกฮือ 8888 จึงอุบัติขึ้น
การลุกฮือ 8888 และจุดเริ่มต้นทางการเมืองของ ‘อองซานซูจี’
การลุกฮือ 8888 เกิดเหตุนองเลือดไปทั่วทั้งเมียนมา คาดว่ามีผู้เสียชีวิตราว 3,000-10,000 คน ขณะที่ทางการและกองทัพพม่าระบุว่ามีผู้เสียชีวิต 350 คนเท่านั้น แม้การสื่อสารและการทำข่าวในเมียนมาจะยากลำบาก แต่สื่อตะวันตกก็รายงานการลุกฮือ 8888 ให้คนทั่วเมียนมาและทั่วโลกรับรู้ เช่น BBC ที่กระจายข่าวการนัดหยุดงานประท้วงให้คนท้องถิ่นรู้, นิตยสาร Time ซึ่งเล่าเหตุการณ์ทหารยิงกลุ่มผู้ประท้วง และ The New York Times ที่เขียนถึงการลุกฮือ 8888 ไว้ในหนังสือพิมพ์ฉบับวันที่ 12 สิงหาคม 1988 ไว้ว่า
แม้จะมีกำลังเหนือกว่ามาก แต่วันนี้ รัฐบาลกลับตกอยู่ในวงล้อมของประชาชนเสียแล้ว (Despite its overwhelming superiority of force, the regime is today under siege by its people.)

ในวันที่ 12 สิงหาคม 1988 ของฝั่งเมียนมา นายพลเซน ลวีน ลาออกจากตำแหน่งผู้นำประเทศหลังบริหารงานได้เพียง 14 วัน และดร. มองมอง (Maung Maung) ก็รับทำหน้าที่ต่อ ขณะเดียวกัน การลุกฮือ 8888 ยังคงดำเนินไป และทำให้ผู้หญิงที่ชื่อว่า อองซานซูจี (Aung San Suu Kyi) ก้าวเข้ามาอยู่ในขบวนการลุกฮือ 8888 จนกลายเป็นบุคคลสำคัญในการเมืองเมียนมานับตั้งแต่นั้น

รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยกล่าวไว้ในรายการ Back to Basics เมื่อ 2 ปีก่อนว่า อองซานซูจี “ตกกระไดพลอยโจน” มาร่วมการลุกฮือ 8888 ช่วงเวลานั้น อองซานซูจีเดินทางจากอังกฤษเพื่อมาเยี่ยมมารดาที่กำลังป่วยไข้เท่านั้น แต่สุดท้าย บุตรีของนายพลอองซาน (Aung San) บิดาแห่งเมียนมาสมัยใหม่ ก็ปรากฏตัวต่อสาธารณชนครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 1988 และ 2 วันถัดมา เธอได้กล่าวปราศรัยต่อหน้าคนพม่าราว 500,000 คนที่เจดีย์ชเวดากอง อองซานซูจีเรียกร้องให้รัฐบาล ณ ขณะนั้นดำเนินการสร้างประชาธิปไตยและระบบหลายพรรค (multi-party system)

อองซานซูจียังกล่าวต่อหน้าคนครึ่งล้านผู้สนับสนุนการลุกฮือ 8888 ด้วยว่า ถึงเธอจะไปใช้ชีวิตในต่างประเทศมานาน แต่ตัวเธอเองและครอบครัวก็ตระหนักดีถึงความ “ซับซ้อนและแฝงเล่ห์เหลี่ยม (complicated and tricky)” ในการเมืองพม่า และแม้จะไม่ต้องการแสวงหาอำนาจใด ๆ แต่เธอก็ไม่อาจอยู่เฉยในยามที่ประเทศบ้านเกิดตกอยู่ในภาวะวิกฤต นี่จึงอาจเป็นสาเหตุหนี่งที่ทำให้อองซานซูจีก่อตั้งพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ร่วมกับอดีตข้าราชการทหารระดับสูง เช่น ทินอู (Tin Oo) และอองจี (Aung Gyi)
ในฐานะบุตรสาวของบิดาดิฉัน ดิฉันไม่อาจเมินเฉยต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นได้ ที่จริงแล้ว วิกฤตระดับชาติเช่นนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นการดิ้นรนครั้งที่ 2 เพื่อเอกราชของชาติ (I could not as my father's daughter remain indifferent to all that was going on. This national crisis could in fact be called the second struggle for national independence.)

จากการลุกฮือ 8888 ในวันนั้น สู่คำสัญญาประชาธิปไตย (อีกครั้ง) ในวันนี้ ?

อย่างไรก็ดี การลุกฮือ 8888 มาถึงจุดพลิกผันในวันที่ 18 กันยายน 1988 นายพลซอมอง (Saw Maung) ล้มพรรคโครงการสังคมนิยมพม่าของเนวิน พร้อมจัดตั้ง ‘สภาสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ (SPDC)’ และเริ่มกวาดล้างกลุ่มผู้ประท้วงครั้งใหญ่ แกนนำการลุกฮือหลายคนหนีหลบลี้หนีภัยไปตามชายแดนของจีนและไทย บางคนเข้าร่วมกองกำลังชนกลุ่มน้อยเพื่อต่อต้านกองทัพพม่า เกือบ 1 ปีให้หลัง วันที่ 20 กรกฎาคม 1989 อองซานซูจีถูกกักตัวในบ้านพักของตัวเองเป็นเวลาหลายปี

แม้จะมีการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤษภาคม 1990 และพรรค NLD จะชนะอย่างท่วมท้น แต่รัฐบาล SPDC ก็ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งและยังคงอยู่ในอำนาจต่อไปโดยในปี 1997 ได้เปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น ‘สภาฟื้นฟูกฎหมายและระเบียบแห่งรัฐ (SLORC)’ แม้รัฐบาลทหาร SPDC/SLORC จะคืนอำนาจและจัดการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2010 แต่รัฐธรรมนูญเมียนมาปี 2008 ระบุให้ทหารมีที่นั่ง 1 ใน 4 ของสภา การเมืองของเมียนมาจึงเป็น “ระบอบไฮบริดเผด็จการผสมประชาธิปไตย” ตามคำนิยามของ รศ.ดร.ดุลยภาค ที่เคยกล่าวไว้ในรายการ Back to Basics
หลังจากถูกกักตัวและประสบอุปสรรคต่าง ๆ ในชีวิตการเมือง อองซานซูจีได้ขึ้นมาเป็นที่ปรึกษาแห่งรัฐของเมียนมาเมื่อปี 2016 เธอพยายามสืบสานปณิธานของบิดาในการสร้างสันติภาพในเมียนมาผ่านการจัด ‘การประชุมปางโหลงแห่งศตวรรษที่ 21 (21st Century Panglong Conference)’ ซึ่งสะท้อนถึง ‘ข้อตกลงปางโหลง (Panglong Agreement)’ ของนายพลอองซานเมื่อปี 1947


อย่างไรก็ตาม หลังพรรค NLD ชนะการเลือกตั้งทั่วไปแบบแลนด์สไลด์ในเดือนพฤศจิกายน 2020 กองทัพพม่าก็ระบุว่า มีการทุจริตเลือกตั้งเกิดขึ้น และ 1 กุมภาพันธ์ 2021 นายพลมิน อ่อง หล่าย (Min Aung Hlaing) ก็ก่อรัฐประหาร 2 ปีถัดมา คณะกรรมการเลือกตั้งเมียนมาได้ยุบพรรค NLD และพรรคการเมืองอื่น ๆ อีก 39 พรรค เพราะไม่สามารถปฏิบัติตามระเบียบใหม่ได้
นับตั้งแต่การลุกฮือ 8888 จนถึงรัฐประหาร ‘2121’ (หรือ เดือน 2 วันที่ 1 ปี 2021) เส้นทางสู่ประชาธิปไตยในเมียนมาเต็มไปด้วยความหวังและการหักหลังมาโดยตลอด แม้วันที่ 31 กรกฎาคม 2025 ที่ผ่านมา รัฐบาลทหารจะยกเลิกภาวะฉุกเฉิน และเตรียมจัดการเลือกตั้งทั่วไปช่วงเดือนธันวาคมของปีเดียวกัน แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า อาจเป็นเพียงวิธีการหนึ่งเพื่อสร้างความชอบธรรมและรักษาอำนาจของกองทัพเอาไว้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ยิ่งเวลาผ่านพ้นไป โอกาสที่ประชาชนเมียนมาจะมีสิทธิ์มีเสียงในการเมืองกลับยิ่งลดน้อยถอยลงไปทุกวัน
เข้าใจ 'แนวคิดการเมือง' ในหลากหลายแง่มุมไปกับบทความจาก Thai PBS
- 5 ข้อน่ารู้ “กฎอัยการศึก”
- เรื่องน่ารู้ของอายุกับความเป็นผู้นำระดับโลก
- เจาะทฤษฎีการเมือง 'ชาตินิยม' ไม่เท่ากับ 'รักชาติ' ?

อ้างอิง
- From ‘8888’ to ‘2121’: A New Generation of Resistance in Myanmar, Just Security
- How a Failed Democracy Uprising Set the Stage for Myanmar’s Future, Time
- Myanmar coup: What protesters can learn from the '1988 generation', BBC
- Remembering the 1988 Burma Uprising, BBC [video]
- Speech to a Mass Rally at the Shwedagon Pagoda [August 26, 1988], The Online Burma/Myanmar Library
- Timeline: Myanmar's '8/8/88' Uprising, NPR
- Uprising in Burma: The Old Regime Under Siege, The News York Times [August 12, 1988]
เล่าอดีต บันทึกปัจจุบัน รอบรู้ทุกวัน กับ Thai PBS On This Day: www.thaipbs.or.th/OnThisDay