กำลังเป็นข่าวที่สังคมพูดถึง กรณีกระแสการอายัดบัญชีเงินฝากของประชาชนจำนวนมาก ทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทุจริตใด ๆ จนนำมาซึ่งการร้องเรียน ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปลดล็อกการถูกระงับบัญชีเงินในธนาคารของตนเอง
Thai PBS ชวนรู้จักคำว่า “อายัด” และเรื่องพึงสังเกตเกี่ยวกับธุรกรรมทางการเงินที่นาสนใจให้ทราบกัน
“การอายัด” คืออะไร ?
อายัด คือ การสั่งห้ามจำหน่าย จ่าย โอน หรือทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องที่ถูกอายัดไว้ จนกว่าจะมีการถอนอายัด โดยลักษณะของการอายัด มีหลายรูปแบบ เช่น
- การอายัดบัญชี คือ การมีคำสั่งให้ระงับการทำธุรกรรมทางการเงินใด ๆ ของบัญชีนั้นเป็นการชั่วคราว เพื่อป้องกันสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้
- การอายัดทรัพย์สิน คือ การที่เจ้าพนักงานบังคับคดี สั่งบุคคลภายนอกที่ต้องชำระเงินแก่ลูกหนี้ ให้เปลี่ยนไปชำระเงินแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีแทน เพื่อนำไปชำระหนี้ตามคำพิพากษา โดยไม่ใช่การบังคับยึดทรัพย์สินที่อยู่ในการครอบครองของลูกหนี้โดยตรง แต่บังคับกับสิทธิเรียกร้องเป็นเงินของลูกหนี้ เช่น เงินเดือน, ค่าจ้าง, โบนัส, เงินฝาก, ค่าเช่า หรือเงินปันผลหุ้น
“การอายัด” ในบริบทภาษาอังกฤษ
คำว่า อายัด ในภาษาอังกฤษ มีคำศัพท์ที่เลือกใช้หลากหลายบริบท เช่น
- หากเป็นการอายัดเงิน มักจะใช้คำว่า freeze เช่น อายัดเงินเดือน freeze wages หรือ อายัดราคา freeze prices
- หากเป็นการอายัดทรัพย์สิน มักใช้คำว่า attach หรือ seize เช่น อายัดทรัพย์สิน seize property หรือ seize assets เป็นต้น
- หากเป็นการอายัดตัวบุคคลหรือสิ่งของ มักใช้คำว่า detain โดยมีความหมายบ่งชี้ถึง การระงับการเคลื่อนไหวของสิ่งของบางอย่าง
- หากเป็นการอายัดค่าจ้าง มักใช้คำว่า garnish เช่น garnishment of wages หรือการอายัดค่าจ้าง
“การอายัด” ต่างจาก “การยึด”
คำว่า “อายัด” กับ “ยึด” มีความแตกต่างกัน อายัด คือการสั่งห้ามไม่ให้มีการจำหน่าย จ่ายโอน หรือทำนิติกรรมใด ๆ กับทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องที่ถูกอายัด โดยทรัพย์สินยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของเดิม
ส่วน การยึด คือการที่เจ้าพนักงานบังคับคดี เข้าไปครอบครองและควบคุมทรัพย์สินของลูกหนี้ เพื่อนำไปขายทอดตลาด และนำเงินมาชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้
กรณีเป็นคำสั่ง “อายัดทรัพย์” เมื่อศาลพิพากษา และถูกบังคับคดี เจ้าหนี้สามารถอายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ได้ ดังนี้
- เงินเดือน ค่าจ้าง หรือรายได้อื่นที่มีลักษณะจ่ายค่าตอบแทนการจ้างงานเป็นรายเดือน อายัดได้ไม่เกิน 30% โดยต้องเป็นลูกหนี้ที่มีเงินเดือนมากกว่า 20,000 บาท
- เงินโบนัส อายัดได้ไม่เกิน 50%
- เงินค่าตำแหน่งทางวิชาการ อายัดได้เฉพาะที่เป็นสังกัดเอกชน เพราะถือว่าเป็นเงินเดือน
- เงินที่ตอบแทนการออกจากงาน อายัดได้ไม่เกิน 300,000 บาท หรือตามเจ้าหน้าที่บังคับคดีเห็นสมควร
- เงินค่าตอบแทนจากการทำงานเป็นชั่วคราว อายัดได้ไม่เกิน 30 %
- เงินฝากในบัญชี
- เงินปันผลจากการลงทุนในหุ้น
- ค่างวดงานตามสัญญาจ้าง
- ค่าเช่าทรัพย์สิน
กรณีเป็นคำสั่ง “ยึดทรัพย์” เมื่อศาลพิพากษา และถูกบังคับคดี เจ้าหนี้สามารถยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ได้ ดังนี้
- บ้าน ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของลูกหนี้ ทั้งที่ติดจำนองหรือไม่ติดจำนอง
- รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของลูกหนี้
- ของมีค่า เครื่องประดับที่มีมูลค่า เพชร พลอย นาฬิกา สร้อยคอทองคำ และของสะสมที่มีมูลค่ารวมเกิน 100,000 บาท
- ของใช้ส่วนตัว อาทิ เสื้อผ้า โต๊ะ เก้าอี้ และเฟอร์นิเจอร์ ที่มีมูลค่ารวมกันเกิน 20,000 บาท
- เครื่องมือในการประกอบอาชีพของลูกหนี้ ที่มีมูลค่ารวมกันเกิน 100,000 บาท
- ทรัพย์สินประเภทสัตว์ สิ่งของ เครื่องใช้ ที่ใช้ในการช่วยเหลือหรือแทนอวัยวะ
ที่มาการอายัด และระยะเวลา
สาเหตุของการถูกอายัด มีหลายรูปแบบ อาทิ
- มีการสืบสวนทางกฎหมาย ทำให้เจ้าหน้าที่คำสั่งอายัดบัญชี
- มีแหล่งที่มาของรายได้ไม่ชัดเจน อาทิ มีเงินเข้าบัญชีในจำนวนที่ผิดปกติ หรือมีความถี่ในการรับโอนที่น่าสงสัย
- เกิดจากการฟ้องร้อง หรือการดำเนินคดีทางกฎหมาย โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการเป็นหนี้สิน
- ได้รับการแจ้งความเกี่ยวกับการฉ้อโกง จนทำให้เจ้าหน้าที่สั่งอายัดบัญชีไว้ก่อน
- รับเงินโอนจากบัญชีของมิจฉาชีพ ไม่ว่าจะด้วยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม หากตรวจสอบพบ เจ้าหน้าที่จะทำการสั่งอายัดบัญชีเอาไว้
ระยะเวลาการถูกอายัด จำแนกได้ 2 ลักษณะคือ
1.กรณีเป็นคำสั่งอายัดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ
- ธนาคารจะระงับธุรกรรมเป็นระยะเวลา 72 ชั่วโมง เพื่อให้รวบรวมหลักฐาน
- เมื่อแจ้งความกับพนักงานสอบสวนแล้ว จะมีกระบวนการขอหมายเรียกเอกสารภายใน 7 วัน หากครบกำหนด 7 วันแล้วยังไม่มีหมายจากตำรวจ ธนาคารจะยกเลิกการอายัด
- เมื่อมีเอกสารยืนยันความบริสุทธิ์ เช่น หนังสือยกเลิกการอายัดบัญชีจากตำรวจ เจ้าของบัญชีสามารถนำไปยื่นที่ธนาคารเพื่อขอปลดอายัดได้
2.กรณีเป็นคำสั่งอายัดจากศาล
- คำสั่งอายัดตามคำพิพากษาจากศาล มีอายุ 10 ปีนับจากวันที่ศาลมีคำพิพากษา
- เจ้าหนี้สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดี งดการบังคับคดีชั่วคราวได้
การปลดการอายัดบัญชี ทำอย่างไร
กรณีถูกอายัดบัญชีเงินในธนาคาร มีกระบวนการดำเนินการขอ “ปลดอายัดบัญชี” ดังนี้
1.ตรวจสอบรายละเอียดจากธนาคาร เพื่อขอทราบเหตุผลว่าบัญชีถูกอายัดด้วยสาเหตุอะไร หรืออายัดจากหน่วยงานใด
2.ติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจอายัด ให้ติดต่อสถานีตำรวจที่รับเรื่อง เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง และยื่นหลักฐาน เช่น บัตรประชาชน สมุดบัญชี หรือหลักฐานการทำธุรกรรม เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์
- กรณีเป็นหน่วยงานอื่น ๆ ทำการอายัด ให้ติดต่อกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนั้นโดยตรง
3.ยื่นคำร้องเพื่อถอนการอายัด กรณีที่พิสูจน์หลักฐานแล้วว่าไม่มีความผิด ให้ยื่นคำร้องขอเอกสารรับรองการถอนอายัดบัญชีกับเจ้าหน้าที่ โดยจะต้องมีลายมือชื่อของผู้มีอำนาจ และตราประทับของหน่วยงาน
4.นำเอกสารดังกล่าวไปยื่นต่อธนาคาร เพื่อดำเนินการปรับสถานะทางบัญชี
5.ติดตามผลความคืบหน้า ทั้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและธนาคาร โดยอาจจดบันทึกวันเวลาที่ติดต่อ ชื่อเจ้าหน้าที่ที่ให้บริการ และข้อมูลสำคัญที่ได้รับในแต่ละครั้ง หากมีความล่าช้า หรือพบปัญหา
- กรณีเป็นธนาคารดำเนินการล่าช้า โทรสายด่วน ธนาคารแห่งประเทศไทย 1213
- หรือโทรสอบถาม ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ AOC 1441
ลักษณะการถูกอายัดมีหลายรูปแบบ การเข้าใจในบริบทต่าง ๆ ของเหตุที่มาของการอายัด จะทำให้ผู้ถูกอายัดเข้าใจ และสามารถดำเนินการเพื่อเป็นประโยชน์ต่อไป
อ้างอิง
- เป็นหนี้ ! เจ้าหนี้อายัดอะไรได้บ้าง ? / ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
- หลักเกณฑ์และวิธีการในการใช้อำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการตามกฎหมายว่าด้วยระบบการชำระเงิน / ธนาคารแห่งประเทศไทย