ในปัจจุบัน เทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับ หรือที่รู้จักในอีกชื่อว่า “โดรน” เข้ามามีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่ความมั่นคงของประเทศ การถ่ายทำวิดีโอ ยกระดับการเกษตรกรรม ตลอดจนเพิ่มศักยภาพการขนส่งและระบบโลจิสติกส์ในอนาคตอันใกล้
เมื่อเทคโนโลยีโดรนเป็นที่แพร่หลาย เข้าถึงได้ง่ายดาย และมีประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น การใช้โดรนให้ถูกต้องตามกฎระเบียบ วัตถุประสงค์ และการมีความสามารถในการติดตามตำแหน่งได้ จึงจำเป็นต่อการรักษาความปลอดภัยของสังคมส่วนรวม ตลอดจนความมั่นคงของประเทศ
เพื่อเตรียมรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น GISTDA สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) โดยศูนย์วิจัยเทคโนโลยีอวกาศ (Space Technology Research Center หรือ S-TREC) จึงได้มีการพัฒนาระบบการจัดการอากาศยานไร้คนขับ ภายใต้ชื่อว่า “AMETHYST” เพื่อบริหารจัดการจราจรทางโดรน การปฏิบัติการของระบบอากาศยานไร้คนขับ และเป็นระบบที่ให้บริการแบบครบวงจร
ดร.สิทธิพร ชาญนำสิน ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเทคโนโลยีอวกาศ ระบุว่า GISTDA มีหน้าที่ในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อร่วมสนับสนุนการปฏิบัติการด้านการจัดการจราจรอากาศยานไร้คนได้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยเริ่มจากการลงทะเบียนการใช้งานโดรนและอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องปัจจุบันต้องลงทะเบียนผ่าน กพท. (CAAT) และ กสทช. (NBTC) ที่แยกส่วนในการดำเนินการ
“เราจึงพัฒนาระบบ AMETHYST มีขีดความสามารถในการลงทะเบียนในทีเดียว (One Stop Service) และข้อมูลจะถูกส่งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินพิจารณาการอนุมัติต่อไป”
นอกจากปัญหาการลงทะเบียน ดร.สิทธิพร ระบุว่าระบบ AMETHYST สามารถใช้เพื่อขออนุญาตทำการบินในพื้นที่ต่าง ๆ ได้ โดยระบุวัน เวลา เพื่อดำเนินเรื่องส่งให้หน่วยงานบังคับใช้สามารถพิจารณาอนุมัติ เป็นการเชื่อมโยงให้ผู้ใช้งานโดรนและหน่วยงานรัฐสามารถเข้าถึงการได้อย่างง่ายดาย และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
แต่เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ใช้งานโดรนจะทำภารกิจตามที่ขออนุญาตไว้ ดร.สิทธิพร เปิดเผยว่า เพื่อดำเนินการบริหารจัดการและติดตามการใช้งานโดรนอย่างมีประสิทธิภาพ โดรนทุกตัว จำเป็นที่จะต้องติดตั้ง Remote ID เพื่อเป็นเหมือนทะเบียนรถและ GPS ของโดรน เพื่อให้สามารถติดตามโดรนในระหว่างทำการบินได้ โดย GISTDA ได้พัฒนาระบบให้รองรับกับ Remote ID ทั้งในแบบ Broadcast และแบบ Network พร้อมมีการทดสอบใช้จริงในเบื้องต้นเป็นที่เรียบร้อย
ระบบ Remote ID จะช่วยสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีเทคโนโลยีที่เหมาะสม พร้อมกำกับดูแลการขึ้นบินของโดรนต่าง ๆ คอยตรวจเช็กว่าดำเนินการขึ้นบินตามภารกิจที่ขออนุญาตไว้จริงหรือไม่ ตลอดจนยืนยันได้ว่าอากาศยานไร้คนขับที่ขึ้นบินอยู่เป็นของใคร เพื่อรักษาความปลอดภัยในการใช้ห้วงอากาศขั้นสูงสุด
ด้วยศูนย์วิจัยเทคโนโลยีอวกาศของ GISTDA ได้มีประสบการณ์ในการพัฒนาระบบต่าง ๆ อาทิ ระบบการจัดการจราจรอวกาศ “ZIRCON” ระบบการติดตามเฝ้าระวังวัตถุอวกาศ “GARNET” และระบบพยากรณ์สภาพอวกาศ “JASPER” จึงได้มีการนำองค์ความรู้และทักษะต่าง ๆ มาใช้ในการพัฒนาระบบ AMETHYST เช่นกัน
“แม้จะมีวิธีรับข้อมูลต่างกัน แต่หลักการใกล้เคียงกัน ตัวอย่างเช่น ระบบ ZIRCON เราต้องการทราบตำแหน่งของดาวเทียมและวัตถุอวกาศ และนำมาวิเคราะห์พิจารณาความเสี่ยงการชนในอวกาศ ตามที่กล่าวมาทำให้เราคาดการณ์ได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง” โดย ดร.สิทธิพร ระบุว่าความท้าทายในการพัฒนาระบบบริหารจัดการอากาศยานไร้คนขับ คือดาวเทียมมีระบบที่ใช้ในการติดตามได้แล้ว แต่โดรนบางลำยังต้องมีการพัฒนาฮาร์ดแวร์เพื่อรองรับการติดตั้งผ่าน Remote ID เพิ่มเติม ซึ่งการพัฒนาอุปกรณ์ในการตรวจจับขึ้นเองในประเทศ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อ พร้อมกับยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรได้ในเวลาเดียวกัน
นอกจากนี้ การพัฒนาระบบบริหารจัดการอากาศยานไร้คนขับ ยังเป็นอีกก้าวสำคัญที่อาจนำไปสู่การพัฒนาระบบการจัดการจราจรน่านฟ้าแบบไร้รอยต่อ (Seamless Traffic Management) อาทิ การปล่อยจรวดขึ้นสู่อวกาศ เดิมต้องมีการประสานงานกับการจัดการจราจรอากาศยานไร้คนขับ การจัดการจราจรด้านการบิน และระบบจัดการจราจรอวกาศ ก็สามารถเชื่อมต่อข้อมูลการให้บริการและจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
การพัฒนาระบบ AMETHYST แม้จะมีจุดเริ่มต้นจากการแก้ปัญหาความซับซ้อนในการดำเนินการของผู้ใช้โดรน เพื่อตอบโจทย์ให้เป็นจุดบริการครบวงจร One-stop service ตั้งแต่การลงทะเบียน และขออนุญาตขึ้นบิน แต่จากการพัฒนาและทดสอบอย่างต่อเนื่อง ระบบดังกล่าวอาจมีส่วนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนภารกิจด้านความมั่นคง ติดตามตำแหน่งของโดรนต่าง ๆ ในน่านฟ้า ว่าลำไหนเป็นมิตรหรืออาจเป็นอันตราย ตลอดจนนำไปสู่เชื่อมต่อการจัดการดูแลการจราจรได้ครบทุกระดับชั้นน่านฟ้า ให้ดำเนินการภารกิจได้อย่างปลอดภัย
ท้ายที่สุด ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเทคโนโลยีอวกาศเน้นย้ำว่า “เราอยากสนับสนุนให้มีการใช้งานโดรนได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยเราเป็นจุดเริ่มต้นในการสาธิตระบบ AMETHYST ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เห็นถึงประโยชน์ระบบ UTM และการบังคับใช้ Remote ID ในประเทศไทยอย่างเหมาะสม ซึ่งจะนำไปปรับใช้ในการร่างนโยบาย หรือกฎระเบียบของโดรนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในประเทศของเรา”
ระบบ AMETHYST ยังได้รับรางวัลนำเสนอบทความดีเด่น จากงานประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 5 จัดโดยสถาบันการบินพลเรือน จากการทำงานวิจัยเรื่อง “From Concept to Sky Management: GISTDA’s UTM and Remote ID Initiatives and the National Outlook Towards 2045” ภายใต้การนำเสนอโดยนักวิจัยของศูนย์วิจัยเทคโนโลยีอวกาศ ตอกย้ำความพร้อมในการนำไปปรับใช้ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศในอนาคตอันใกล้
อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : GISTDA สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech