วันนี้ (28 กันยายน ค.ศ. 2025) เมื่อ 130 ปีก่อน คือวันที่ 28 กันยายน ค.ศ. 1595 แสงเทียนสว่างแห่งชีวิตของนักวิทยาศาสตร์สำคัญที่สุดคนหนึ่งของโลก คือ หลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur) ดับวูบลง แต่แสงเทียนแห่งเกียรติยศ ชื่อเสียง และความสำนึกของคนจำนวนมากทั่วโลก ที่รอดชีวิตจากภัยโรคร้าย ดังเช่น โรคพิษสุนัขบ้า ก็ยังสุกสว่างต่อมา ถึงแม้จะถูกลมแรงพัดกรรโชกให้วูบไหวไปบ้าง แต่ก็ยังสว่างโชติช่วงถึงปัจจุบัน
“วิทยาศาสตร์ ทันโลก ทันชีวิต” วันนี้ ขอนำท่านผู้อ่าน ไปรำลึกถึงเรื่องราวชีวิตและผลงานบางส่วนของ หลุยส์ ปาสเตอร์ ที่ทำให้เขาเป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของโลก รวมทั้งส่วนที่ถูกเก็บเป็นความลับมาก่อน อยู่ในสมุดบันทึกส่วนตัวการทดลองวิทยาศาสตร์ของเขา ที่เพิ่งถูกเปิดเผย หลังการจากไปของเขาเป็นเวลาเกือบหนึ่งศตวรรษ

จากอักษรศาสตร์และศิลปศาสตร์ สู่วิทยาศาสตร์และการแพทย์
ในระดับโลก เมื่อส่องดูชื่อ 10 ยอดนักวิทยาศาสตร์ตลอดกาล จะพบชื่อของ ไอน์สไตน์ , ไอแซก นิวตัน และ ชาร์ลส์ ดาร์วิน เป็นประจำ แล้วก็จะมีชื่อ หลุยส์ ปาสเตอร์ และ แมรี คูรี อยู่บ่อย ๆ ...
แต่ถ้าส่องเฉพาะ 10 รายชื่อสุดยอดนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสแล้ว ก็จะพบ แมรี คูรี และ หลุยส์ ปาสเตอร์ เป็นประจำ โดยจะสลับกันติดอันดับที่หนึ่งและที่สอง
เรื่องราวชีวิตและผลงานของ แมรี คูรี มีมากมาย น่าทึ่งและน่าศึกษา แต่วันนี้ เราจะโฟกัสเฉพาะเรื่องราวชีวิตและผลงานของ หลุยส์ ปาสเตอร์ เป็นการรำลึกถึง 130 ปี การจากไปของเขา
หลุยส์ ปาสเตอร์ เกิดวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 1822 ที่เมืองโคล ประเทศฝรั่งเศส
เมื่อวัยเด็ก หลุยส์ ปาสเตอร์ ไม่มีแววหรือความสนใจอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ สิ่งที่เขาชอบ คือ การตกปลาและเขียนภาพบุคคล เช่น คนในครอบครัว เพื่อนบ้าน และเพื่อน ๆ
เมื่อโตขึ้น ก็มีความใฝ่ฝันอยากเป็นอาจารย์สอนด้านศิลป์และการเขียนภาพ และเมื่อเข้าเรียนในระดับชั้นสูงขึ้น ก็เรียนด้านศิลป์ จนกระทั่งได้รับปริญญาอักษรศาสตร์และศิลปศาสตรบัณฑิต ในปี ค.ศ. 1840 จาก College Royal at Besancon (ราชวิทยาลัยแห่งเบซองซง) แล้วก็ทำงานเป็นอาจารย์สอนวิชาศิลปศาสตร์อยู่พักหนึ่ง
จุดเปลี่ยนสำคัญทำให้ หลุยส์ ปาสเตอร์ หันมาทางวิทยาศาสตร์ คือ การได้ฟังบรรยายโดย ฌอง บัปติสต์ อังเดร์ ดูมาส์ (Jean Baptiste Andre Dumas : ค.ศ. 1800-1884) และ อองตวน เจอโรม บาลาร์ด (Antoine Jerome Ballard : ค.ศ. 1802-1876) สองอาจารย์นักเคมี จนกระทั่ง หลุยส์ ปาสเตอร์ ทุ่มเทให้กับการศึกษาวิทยาศาสตร์ และได้รับปริญญาตรีและโท ทางฟิสิกส์และเคมี โดยได้รับปริญญาสูงสุด คือ ปริญญาเอกวิทยาศาสตร์ (ทางด้านเคมีและฟิสิกส์) ปี ค.ศ. 1847 จากสถาบันการศึกษาชั้นสูง Ecole Normale Superieur Paris (เอโคล นอร์มาล ซูเปริเยอร์) ในปารีส โดยเสนอวิทยานิพนธ์สำหรับปริญญาเอก 2 เรื่อง ทางด้านฟิสิกส์และเคมีสาขาละ 1 เรื่อง

ผลงานของ หลุยส์ ปาสเตอร์ ที่รู้จักกันดีจะเป็นผลงานทางด้านชีววิทยาและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านการแพทย์
อย่างน่าสนใจ จริง ๆ แล้ว หลุยส์ ปาสเตอร์ มิได้สำเร็จการศึกษาทางด้านชีววิทยาและการแพทย์โดยตรง แล้ว หลุยส์ ปาสเตอร์ เข้าสู่ถนนสายชีววิทยาและการแพทย์ได้อย่างไร ?
คำตอบคือ ถนนสายชีววิทยาและการแพทย์ของ หลุยส์ ปาสเตอร์ เป็นถนนสายสืบเนื่องต่อจากงานการศึกษาวิจัยทางด้านฟิสิกส์และเคมีของเขา ที่เจาะศึกษาโครงสร้างและสมบัติทางด้านแสง ของผลึกสารประกอบกรดทาร์ทาริก เป็นกรดอินทรีย์มีอยู่มากในองุ่นและมะขาม...
ซึ่งนำทาง หลุยส์ ปาสเตอร์ เข้าสู่โลกของจุลชีววิทยา โดยมีเครื่องมือสำคัญที่นักจุลชีววิทยา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทุกคนต้องใช้ คือ กล้องจุลทรรศน์ สามารถส่องเห็นจุลินทรีย์และเชื้อโรคจำพวกแบคทีเรียได้
จากนั้น หลุยส์ ปาสเตอร์ ก็เป็นเหมือนกับฮีโร่เคาบอย ในภาพยนตร์ตะวันตก ที่ขี่ม้าท่องไปในโลกยุคบุกเบิกตะวันตกของสหรัฐอเมริกา เพื่อต่อสู้กับ “เหล่าร้าย” แต่แทนที่จะพกปืนเป็นอาวุธประจำตัว หลุยส์ ปาสเตอร์ พก “กล้องจุลทรรศน์” ติดตัวไปในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อต่อสู้กับจุลินทรีย์และเชื้อโรค...
เชื้อโรคซึ่งรวมไปถึง “ไวรัส” ดังเช่น ไวรัสโรคกลัวน้ำหรือพิษสุนัขบ้า ที่ส่องไม่เห็นด้วยกล้องจุลทรรศน์ของ หลุยส์ ปาสเตอร์ เพราะกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนที่ส่องเห็นไวรัสได้ยังไม่มีให้ หลุยส์ ปาสเตอร์ ได้ใช้
แต่ หลุยส์ ปาสเตอร์ ก็เผชิญกับ “เหล่าร้าย” ทั้งที่ “เห็นตัว” (แบคทีเรียและจุลินทรีย์) และที่มองไม่เห็น (ไวรัส) อย่าง “คนกล้า” และ “เสี่ยง” แล้วก็เอาชนะมาได้...
จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของชีวิต และต่อมา หลุยส์ ปาสเตอร์ ก็ได้รับการยกย่องเป็น
*บิดาแห่งแบคทีเรียวิทยา (Father of bacteriology)
*บิดาแห่งจุลชีววิทยา (Father of microbiology) ร่วมกับ โรเบิร์ต คอช (Robert Koch) และอันโตนี ฟาน เลเวนฮุก (Anthonie Van Leevanhoek)
ชื่อของ หลุยส์ ปาสเตอร์ ถูกนำไปใช้หรือ “ยกย่อง” เป็นชื่อของ “ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์” “ห้องสมุด” “สำนักการศึกษาวิจัยวิทยาศาสตร์” “เมือง” “ถนน” มิใช่เฉพาะในฝรั่งเศส แต่ในหลายประเทศทั่วโลก...
และก็ชื่อมหาวิทยาลัย ดังเช่น Louis Pasteur University หรือ Strasbourg 1 และ Marie and Louis Pasteur University (มหาวิทยาลัยแมรีและหลุยส์ปาสเตอร์) ซึ่งเป็นชื่อใหม่ในปี ค.ศ. 2025 นี้เอง จากชื่อเดิม University of Franche-Comte…
รวมทั้งชื่อกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่รู้จักและใช้กันทั่วโลกในปัจจุบัน คือ “การพาสเจอร์ไรซ์” (pasteurization)
ส่อง 4 เรื่องผลงาน หลุยส์ ปาสเตอร์
หลุยส์ ปาสเตอร์ มีผลงานสำคัญมากมายในสาขาของฟิสิกส์, เคมี, ชีววิทยาและการแพทย์ ซึ่งส่วนใหญ่ มีการเจาะศึกษากันอย่างละเอียด แต่สำหรับเรื่องของเราวันนี้ ผู้เขียนขอนำผลงานที่สำคัญของ หลุยส์ ปาสเตอร์ มาเล่าสรุป และชี้ประเด็นน่าสนใจ อย่างเร็ว ๆ รวม 4 เรื่องใหญ่ดังต่อไปนี้
(1) กำเนิดของสิ่งมีชีวิต : เป็นผลงานทางด้านชีววิทยาเกี่ยวกับกำเนิดที่มาของสิ่งมีชีวิตว่า ชีวิตจะกำเนิดจากสิ่งไม่มีชีวิต ไม่ได้
หลุยส์ ปาสเตอร์ ทำการทดลองแสดงให้เห็นว่า เมื่อเราต้มเนื้อสัตว์ (เพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์) แล้วใส่ไว้ในหลอดแก้วทดลองคอยาวแบบคอห่าน เนื้อสัตว์จะไม่เน่า เพราะเชื้อจุลินทรีย์ในอากาศเข้าไปไม่ถึงเนื้อสัตว์
ผลงานนี้ของ หลุยส์ ปาสเตอร์ มีความสำคัญต่อชีววิทยาเกี่ยวกับกำเนิดของชีวิต ต่ออุตสาหกรรมเกี่ยวกับอาหารและต่อการแพทย์ ในการรักษาบาดแผลและป้องกันโรค
ทั้งนี้ สำหรับเรื่อง กำเนิดสิ่งมีชีวิตของ หลุยส์ ปาสเตอร์ เป็นคนละเรื่องกับกำเนิดแรกเริ่มของชีวิตในจักรวาลและบนโลก ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่า กำเนิดแรกเริ่มของสิ่งมีชีวิตในจักรวาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บนโลก มีกำเนิดมาจากสสารที่ไม่มีชีวิตมาก่อน
(2) การพาสเจอร์ไรซ์ : การถนอมอาหารเหลวโดยใช้ความร้อน
ปลายทศวรรษปี ค.ศ. 1950 อุตสาหกรรมผลิตเหล้า ไวน์ ของฝรั่งเศสกำลังประสบกับปัญหาหนักของการหมัก โดยไม่ทราบสาเหตุ หลุยส์ ปาสเตอร์ ได้รับการขอร้องให้ช่วยแก้ปัญหา
หลุยส์ ปาสเตอร์ โดยอาศัยอาวุธคู่มือประจำตัว คือ กล้องจุลทรรศน์ ได้ค้นพบสาเหตุว่า “เจ้าตัวร้าย” คือ จุลินทรีย์บางชนิด และพบว่าความร้อนสามารถช่วย “จัดการ” กับจุลินทรีย์ตัวร้ายได้ จึงได้เสนอวิธีการแก้ปัญหาการหมักเหล้าไวน์ ด้วยการ “ใช้ความร้อน”
ในตอนแรก เจ้าของโรงผลิตเหล้า ไวน์ ก็ “ตกใจ” กับวิธีการที่จะใช้ “การต้ม” กับเหล้า ไวน์ แต่ในที่สุด หลุยส์ ปาสเตอร์ ก็ได้รับการพิสูจน์ว่า คิดถูก
อุตสาหกรรมผลิตเหล้า ไวน์ ของฝรั่งเศสรอดพ้นจากความหายนะ และต่อ ๆ มา วิธีการใช้ “ความร้อน” ที่เหมาะสม ก็ใช้กับการ “ถนอมและรักษารส” ของอาหารเหลวอื่น ๆ ทั้งน้ำนมและน้ำผลไม้ จนกระทั่งกระบวนการนี้ ได้รับการตั้งชื่อเรียกเป็น “pasteurization” หรือ “การพาสเจอร์ไรซ์” ตามชื่อของ หลุยส์ ปาสเตอร์

(3) โรคตัวไหมกับสาเหตุการเป็นโรค
ปี ค.ศ. 1865 อุตสาหกรรมไหมทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสประสบกับความหายนะจากการระบาดของโรคตัวไหม
หลุยส์ ปาสเตอร์ ใช้เวลา 5 ปี ด้วยอาวุธคู่กาย คือ กล้องจุลทรรศน์ พบสาเหตุของโรคตัวไหมว่า เกิดจากเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดและแนะนำวิธีแก้ คือ ตรวจตัวอ่อนไหม เมื่อพบตัวไหมมีจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค ก็ให้ทำลาย
จากการศึกษาโรคตัวไหม นอกเหนือไปจากการช่วยให้อุตสาหกรรมการผลิตไหมพ้นจากหายนะแล้ว ก็ยังมีผลสำคัญอย่างยิ่งต่อวงการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สาเหตุของการเกิดโรค
(4) วัคซีน : อหิวาต์ไก่, แอนแทรกซ์และโรคกลัวน้ำ
*หลุยส์ ปาสเตอร์ มิใช่ผู้ค้นคิดเรื่องวัคซีนหรือคนแรกที่ผลิตและใช้วัคซีน
*หลุยส์ ปาสเตอร์ เป็นคนตั้งคำ “วัคซีน” (vaccine) ขึ้นมา เพื่อให้เกียรติแก่ผู้คิดค้น และใช้วัคซีนคนแรก คือ เอดเวิร์ด เจนเนอร์ (Edward Jenner : ค.ศ. 1749-1823) แพทย์ชาวอังกฤษ
คำ vaccine มาจากคำภาษาละติน vacca แปลว่า วัว เพราะวัคซีนแรกที่ เอดเวิร์ด เจนเนอร์ ใช้เป็นวัคซีน มาจาก “วัว”
*หลุยส์ ปาสเตอร์ เป็นผู้ให้หลักการของ “การฉีดวัคซีน” หรือ “vaccination” ว่า เป็นการใช้ “เชื้อโรค” ที่ถูกทำให้อ่อนแอหรือตาย ไปจัดการกับเชื้อโรคที่ผู้ป่วยได้รับ
*ถึงแม้หลักการของการฉีดวัคซีนของ หลุยส์ ปาสเตอร์ จะถูกต้อง แต่ หลุยส์ ปาสเตอร์ ก็ยังไม่ทราบว่า วัคซีนไปทำอะไร จึงป้องกันโรคได้ ซึ่งเป็นความรู้ใหม่ในภายหลังว่า วัคซีนไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
*วัคซีนแรกของ หลุยส์ ปาสเตอร์ คือ วัคซีนป้องกันโรคอหิวาต์ไก่ในปี ค.ศ. 1972 เป็นวัคซีนผลิตจากเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของโรค เพื่อทำให้เชื้อโรคอ่อนกำลังลงไปมาก เมื่อฉีดกลับเข้าไปในไก่ ก็ได้ผล คือ ไก่ไม่เป็นโรค
*หลังความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาโรคระบาดในไก่ หลุยส์ ปาสเตอร์ ผลิตวัคซีนเพื่อป้องกันโรคแอนแทรกซ์ ที่เกิดกับสัตว์เศรษฐกิจ แกะ, แพะ และวัว
ในตอนแรก เจ้าของคอกสัตว์ก็ตกใจไม่ยอมทำตาม เพราะเห็นเป็นการฉีดเชื้อโรคเข้าไปในสัตว์เลี้ยง แต่ในที่สุด หลังการพิสูจน์โดย หลุยส์ ปาสเตอร์ ในปี ค.ศ. 1881 ด้วยการฉีดวัคซีนของเขาให้กับ แกะ, แพะ และวัวทดลองฝูงหนึ่ง หลังจากนั้น ก็ฉีดเชื้อแอนแทรกซ์เข้าไปในสัตว์ทดลอง และตัวอย่างสัตว์ทดลองเพื่อการเปรียบเทียบ ปรากฏว่า สัตว์ทดลองที่ได้รับการฉีดวัคซีน ไม่ป่วย แต่สัตว์ตัวอย่างเปรียบเทียบที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ตายหมด เจ้าของคอกสัตว์ แกะ, แพะ และวัว จึงยอมรับวัคซีนของ หลุยส์ ปาสเตอร์
*เรื่องราวเกี่ยวกับวัคซีนและ หลุยส์ ปาสเตอร์ ที่รู้จักและเล่าขานกันมากที่สุด คือ วัคซีนโรคกลัวน้ำหรือโรคพิษสุนัขบ้า
คนป่วยด้วยพิษสุนัขบ้า จะดื่มน้ำหรือแม้แต่กลืนน้ำลายก็ลำบาก จึงเรียกกันเป็นโรคกลัวน้ำ
หลุยส์ ปาสเตอร์ ใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องหาเชื้อโรคสาเหตุโรคพิษสุนัขบ้า แต่ก็ไม่เห็น เพราะเป็นไวรัสที่ยังไม่รู้จักกัน แต่ หลุยส์ ปาสเตอร์ ก็มั่นใจว่า มีเชื้อโรคในน้ำลายของสุนัขบ้า จึงใช้น้ำลายของสุนัขบ้าไปทำเป็นวัคซีน
คนถูกสุนัขบ้ากัดคนแรกที่ได้รับการฉีดวัคซีนอย่างได้ผล คือ โจเซฟ ไมสเตอร์ (Joseph Meister) เขาถูกสุนัขบ้ากัดขณะมีอายุ 9 ปี ได้รับการฉีดวัคซีน 14 เข็ม ติดต่อกัน 10 วัน ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1885
วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าของ หลุยส์ ปาสเตอร์ ทำให้โรคพิษสุนัขบ้า มิใช่โรคที่สิ้นหวังอีกต่อไป
บั้นปลายชีวิตของ โจเซฟ โมสเตอร์ เขาสละชีวิต (ฆ่าตัวตาย) ในวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1940 ขณะมีอายุ 64 ปี เพื่อปกป้องเกียรติภูมิของ หลุยส์ ปาสเตอร์ จากการถูกทหารนาซี เปิดสุสานเก็บร่างของ หลุยส์ ปาสเตอร์ ในสถาบัน ปาสเตอร์ (Pasteur Institute) ที่กรุงปารีส

สมุดบันทึกส่วนตัวการทดลองของ หลุยส์ ปาสเตอร์
หลุยส์ ปาสเตอร์ มีสมุดบันทึกส่วนตัวการทดลองของเขา ซึ่งเขาได้สั่งในปี ค.ศ. 1878 (ขณะมีอายุ 56 ปี) กับครอบครัวของเขา ให้เก็บสมุดบันทึกการทดลองของเขาอย่างเป็นความลับมิให้คนภายนอกอ่าน จนกระทั่งหลังการจากไปของ หลุยส์ ปาสเตอร์ เป็นเวลา 69 ปี คือ ในปี ค.ศ. 1964 หลายชายของเขาชื่อ ปาสเตอร์ อัลเลรี-ราโดต์ (Pasteur Vallery-Radot) ผู้เก็บ-รวบรวม-ผลงานของ หลุยส์ ปาสเตอร์ และเขียนประวัติของ หลุยส์ ปาสเตอร์ ได้มอบสมุดบันทึกแก่ “ห้องสมุดแห่งชาติฝรั่งเศส”...
โดยมีเงื่อนไขให้ห้องสมุดเก็บสมุดบันทึกเป็นเอกสารลับ จนกว่าผู้มอบจะถึงแก่กรรม
ปาสเตอร์ วัลเลรี-ราโดต์ ถึงแก่กรรมปี ค.ศ. 1971 แต่สมุดบันทึกก็เพิ่งจะรับเลขทะเบียนแค็ตตาล็อกห้องสมุด เพื่อการใช้ประโยชน์โดยทั่วไปในปี ค.ศ. 1985
ในสมุดบันทึก มีรายละเอียดและข้อมูลเกี่ยวเนื่องกับ “เรื่อง” ที่ หลุยส์ ปาสเตอร์ ศึกษา...ทดลอง...และใช้จริงมากมาย ซึ่ง “มากกว่า” ที่ หลุยส์ ปาสเตอร์ สรุปและประกาศออกมาในรายงานอย่างเป็นทางการของเขา
ตัวอย่างเช่น เรื่องการใช้วัคซีนโรคกลัวน้ำ ซึ่ง หลุยส์ ปาสเตอร์ รายงานอย่างเป็นสาธารณะว่า โจเซฟ ไมสเตอร์ เป็นคนแรกที่ได้รับการฉีดวัคซีนโรคกลัวน้ำ แต่ในสมุดบันทึก จริง ๆ แล้วก่อน โจเซฟ ไมสเตอร์ มีคนถูกสุนัขบ้ากัดและได้รับการฉีดวัคซีนก่อน โจเซฟ โมสเตอร์ 2 คน...
คนหนึ่งเป็นชายอายุ 61 ปี ฉีดวัคซีนเข็มเดียวแล้วก็ “หายตัว” ไป จึงไม่ทราบผล อีกคนหนึ่งเป็นเด็กหญิงอายุ 11 ปี ได้รับการฉีดวัคซีน 1 เข็ม แต่ก็เสียชีวิตในวันต่อมา

ผลการเปิดสมุดบันทึกการทดลองของ หลุยส์ ปาสเตอร์
โดยภาพรวม ผลกระทบใหญ่ที่สุดจากการเปิดสมุดบันทึก คือ ทำให้แสงเทียนส่องสว่างความมีชื่อเสียงของ หลุยส์ ปาสเตอร์ วูบไหวลงไปบ้าง
เพราะอะไร ?
เพราะจากการวิเคราะห์ศึกษาบันทึกส่วนตัวการทดลองดังกล่าว และบุคลิกส่วนตัว รวมถึงบุคลิกการทำงานของ หลุยส์ ปาสเตอร์ ที่มีความเป็น “ตัวตนของตนเอง” สูง ก็มี “เสียง” วิพากษ์ หลุยส์ ปาสเตอร์ ที่ค่อนข้างหนักว่า หลุยส์ ปาสเตอร์ ขาดจริยธรรมและความซื่อสัตย์ในผลการศึกษาวิจัย ถึงขั้นถูกกล่าวหาว่า แอบอ้างหรือบิดเบือนผลงานของนักวิทยาศาสตร์คนอื่นจนกระทั่ง “ดู” เป็นผลงานของตนเอง
แต่มิใช่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ เพราะมีนักวิทยาศาสตร์บางคน ออกมา “แก้ต่าง” แก่ หลุยส์ ปาสเตอร์ เช่น แมกซ์ เพอรัตซ์ (Max Perutz : ค.ศ. 1914-2002) นักชีววิทยาโมเลกุล ชาวอังกฤษเชื้อสายออสเตรเลีย ผู้ร่วมรับรางวัลโนเบลเคมี ปี ค.ศ. 1962...
และย้อนหลังไปเมื่อปี ค.ศ. 1947 ในนิทรรศการผลงานของ หลุยส์ ปาสเตอร์ ที่กรุงลอนดอน อเล็กซานเดอร์ เฟลมิง (Alexander Fleming : ค.ศ. 1881-1955) ผู้ค้นพบยาปฏิชีวนะเพนิซิลลินได้กล่าวยกย่อง หลุยส์ ปาสเตอร์ เป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ผู้นำคนสำคัญ ในการต่อสู้กับเชื้อโรค
สำหรับผู้เขียน การเปิดบันทึกสมุดส่วนตัวการทดลองของ หลุยส์ ปาสเตอร์ ก็มีความสำคัญอย่างมากต่อผู้เขียน เพราะเมื่อปี ค.ศ. 1983 (พ.ศ. 2526) ผู้เขียนได้คัดเลือก หลุยส์ ปาสเตอร์ เป็น 1 ใน 7 นักวิทยาศาสตร์สำคัญของโลก (ประวัตินักวิทยาศาสตร์และนักประดิษฐ์ที่สำคัญของโลก, ไทยวัฒนาพานิช, พ.ศ. 2526 ; หนังสือเรียนสังคมศึกษา) ซึ่งเป็นเวลา 2 ปี ก่อนการเปิดสมุดบันทึกของ หลุยส์ ปาสเตอร์ ต่อสาธารณศึกษา เพราะหมายถึงข้อมูลใหม่เพิ่มเติมที่ควรจะเติมเต็มสำหรับประวัติเรื่องราวชีวิตและผลงานของ หลุยส์ ปาสเตอร์...
และถ้าจะถามผู้เขียนว่า การเปิดบันทึกสมุดการทดลองของ หลุยส์ ปาสเตอร์ มีผลต่อความรู้สึกของผู้เขียนต่อ หลุยส์ ปาสเตอร์ อย่างไร ?
คำตอบของผู้เขียน คือ ก็ยังตรงกับความรู้สึกของ อเล็กซานเดอร์ เฟลมิง เมื่อปี ค.ศ. 1947
แล้วท่านผู้อ่านล่ะครับ คิดอย่างไร ?
อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech