ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ผลการมีสมาร์ตโฟนก่อนอายุ 13 ปี : ผลวิจัยใหม่ !


วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

รศ. ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล

แชร์

ผลการมีสมาร์ตโฟนก่อนอายุ 13 ปี : ผลวิจัยใหม่ !

https://www.thaipbs.or.th/now/content/3244

ผลการมีสมาร์ตโฟนก่อนอายุ 13 ปี : ผลวิจัยใหม่ !

วันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 2025 คณะนักวิจัยนำโดย ดร.ทารา เทียการาจัน (Tara Tiagarajan) แห่ง “เซเปียนแล็บส์” (Sapien Labs) ตีพิมพ์รายงานในวารสาร Journal of Human Development and Capabilities จากการศึกษาข้อมูลใหญ่มากกว่า 100,000 คน พบผลกระทบต่อสุขภาพจิตของคนเป็นผู้ใหญ่รุ่นใหม่ (young adult) อายุระหว่าง 18 ถึง 24 ปี ที่มีสมาร์ตโฟนก่อนอายุ 13 ปี ผลกระทบที่รุนแรงถึงการปลูกฝังความคิดเรื่อง ฆ่าตัวตาย

“วิทยาศาสตร์ ทันโลก ทันชีวิต” วันนี้ จะนำท่านผู้อ่านไปดูผลการวิจัยศึกษาของโลกยุคดิจิทัลที่เด็กอายุน้อยลง เข้าถึงการใช้สมาร์ตโฟนเพิ่มขึ้นทั่วโลก และแนวทางการป้องกันหรือลดผลกระทบในเชิงลบ ของการเข้าถึงสมาร์ตโฟน ของเด็กอายุยังน้อย และเรื่องราวอันน่าทึ่งของ ดร.ทารา เทียการาจัน ที่ผู้เขียนขอยกให้เป็นหนึ่งในหญิงมหัศจรรย์ตัวจริงของโลก

ผลการวิจัย : ผลต่อเด็ก “มี” สมาร์ตโฟนอายุน้อยกว่า 13 ปี

เซเปียนแล็บส์ เป็นองค์กรวิจัยไม่มุ่งหวังผลกำไร ก่อตั้งในปี ค.ศ. 2016 โดย ดร.ทารา เทียการาจัน นักประสาทวิทยาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มีวัตถุประสงค์หลักอย่างสั้นๆ คือ “เพื่อเข้าใจและช่วยการทำงานของจิตใจ”...

แต่อธิบายและขยายความให้ชัดเจนขึ้น คือ เพื่อความเข้าใจในกลไกการทำงานและบทบาทของสมองกับจิตใจต่อสุขภาพจิต จากอิทธิพลของสภาพแวดล้อมและความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกยุคดิจิทัล โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดความตระหนักในความสำคัญของสุขภาพจิต (mental health) ทัดเทียมกับสุขภาพกาย (physical health)

เซเปียนแล็บส์ มีสำนักงานอยู่ที่เมืองอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย ในแถบพื้นที่ของวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา แต่มีสำนักสาขาหรือหน่วยความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยจำนวนมากทั่วโลก รวมทั้งที่ มหาวิทยาลัยครีอา (Krea University) อยู่ที่เมืองศรีซิตี รัฐอานธร ประเทศอินเดีย ซึ่ง ดร.ทารา เทียการาจัน ได้เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการสภาการปกครอง (Governing Council) ด้วยในปี ค.ศ. 2022

เด็กมีสมาร์ตโฟน อายุน้อยกว่า 13 ปี จะผลกระทบอย่างไร

รายงานผลการศึกษาวิจัย ชื่อ Protecting the Developing Mind in a Digital Age :A Global Policy Imperative (การปกป้องจิตใจกำลังเติบโตในยุคดิจิทัล : นโยบายที่เร่งด่วนระดับโลก) ใช้ข้อมูลจาก Global Mind Project (โครงการจิตใจโลก) ซึ่งเป็นโครงการใหญ่ตั้งขึ้นมาโดย ดร.ทารา เทียการาจัน และเซเปียนแล็บส์ ในปี ค.ศ. 2020 เพื่อรวบรวม-ติดตาม-ตรวจสอบ-สภาพจิต (ที่มากกว่าการป่วยทางจิต) ของประชากรในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ด้วยวิธีการสำรวจ-ประมวล-ประเมินสุขภาพจิต โดยตัวผู้ถูกประเมินเอง จากแบบสอบถามเพื่อวัด ความฉลาดทางสุขภาพจิต (Mental Health Quotient)

ความฉลาดทางสุขภาพจิต เรียกสั้น ๆ เป็น “เอ็มเอชคิว” (MHQ) คล้ายกับ ไอคิว (IQ : ความฉลาดทางปัญญา) และ อีคิว (EQ : ความฉลาดทางอารมณ์) ตามแนวทางเรื่องสุขภาพจิตขององค์การอนามัยโลก (WHO : Wold Health Organization) โดยแบบสำรวจเอ็มเอชคิว ถูกออกแบบเพื่อตรวจสอบสุขภาพจิตรวม 47 ข้อ ที่มีความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตรวม 6 ด้าน คือ

(1) อารมณ์และการแสดงออก

(2) ปฏิสัมพันธ์กับสังคม

(3) การปรับตัวและการฟื้นตัว

(4) การขับเคลื่อนภายในและการกระตุ้น

(5) ความตระหนักรู้

(6) ความสัมพันธ์ของจิต (mind) และกาย (body)

สำหรับค่าคะแนนและความหมายของเอ็มเอชคิวเป็นดังนี้

*ค่าคะแนนสูงสุด คือ 200

*ค่าคะแนนต่ำสุด คือ -100

*คนมีสุขภาพจิตปรกติ จะมีเอ็มเอชคิวอยู่ระหว่าง 0 กับ 100

*คนมีสุขภาพจิตดี จะมีเอ็มเอชคิวมากกว่า 100

*คนมีสุขภาพจิตไม่ปรกติ จะมีเอ็มเอชคิวเป็นลบ

ถึงล่าสุด โครงการจิตใจโลก นับเป็นโครงการใหญ่ที่สุดในโลก เกี่ยวกับสุขภาพจิต มีข้อมูลจากตัวอย่างบุคคลทั่วโลกกว่า 2 ล้านคน ในกว่า 163 ประเทศ...

และตั้งแต่ปี ค.ศ. 2020 มา โครงการจิตใจโลกได้จัดทำและเผยแพร่ “Mental State of the World” ซึ่งเป็นสรุปรายงานประจำปีผลการสำรวจ “เอ็มเอชคิว” ระดับโลก

สำหรับรายงานที่เป็นเป้าหมายหลักของเราวันนี้ เป็นผลการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลจาก “โครงการจิตใจโลก” โดยใช้เฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเป้าหมายของการศึกษาวิจัย

คะแนน MHQ เฉลี่ยของผู้ที่มีอายุ 18–24 ปี (รวมชายและหญิง) จำแนกตามอายุที่เป็นเจ้าของสมาร์ตโฟนเครื่องแรกสำหรับประชากรทั่วโลก รวมถึงในภูมิภาคต่างๆ
ความแตกต่างในเปอร์เซ็นต์ของผู้ที่มีอายุ 18–24 ปีที่รายงานว่า อาการรุนแรง (คะแนน ≥7 จากระดับ 9 จุด โดยที่ 9 คือผลกระทบต่อชีวิตที่รุนแรงที่สุด) และ (ii) การทำงานที่ลดลง (คะแนน ≤3 จากระดับ 9 จุด โดยที่ 9 หมายถึงผลกระทบเชิงบวก และ 1 หมายถึงผลกระทบต่อชีวิตในเชิงลบ) ระหว่างผู้ที่ได้รับสมาร์ตโฟนเครื่องแรกเมื่ออายุ 5–6 ปี (ค่าเฉลี่ย) เทียบกับผู้ที่มีอายุ 13–18 ปี (ค่าเฉลี่ย)

บทสรุปผลการศึกษาวิจัยที่สำคัญ คือ เด็กที่มีสมาร์ตโฟนตั้งแต่อายุน้อยกว่า 13 ปี มีแนวโน้มจะมีปัญหาทางด้านสุขภาพจิต เมื่อเริ่มเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวัยระหว่าง 18 ปี ถึง 24 ปี และคาดว่า จะมีผลติดตัวต่อไปถึงวัยเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว รวมไปถึงตลอดชีวิตด้วย

ปัญหาสุขภาพจิตที่ผลการศึกษาชี้ออกมาทั้งหมด 5 ข้อ เริ่มจากข้อน่ากังวลที่สุด คือ

(1) ความคิดเรื่องการฆ่าตัวตาย

(2) ความก้าวร้าว

(3) ความแปลกแยกจากความเป็นจริง

(4) การควบคุมอารมณ์

(5) ความภาคภูมิใจในตนเอง

สำหรับต้นเหตุของปัญหา ผลการศึกษาชี้ว่ามาจากการที่เด็กได้มีสมาร์ตโฟนตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้เด็กได้สัมผัสหรือเข้าถึงโซเชียลมีเดีย ตั้งแต่ยังไม่พร้อม ทำให้ต้องเผชิญกับ

*การคุกคามทางดิจิทัล

*เกิดปัญหาการนอนหลับ (มีผลต่อสมองและร่างกาย)

*ความสัมพันธ์ภายในครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่

เด็กเล่นสมาร์ตโฟน Cr.Freepik

คนเจนแซดกับสมาร์ตโฟนและโควิด-19

นับตั้งแต่การสิ้นสุดลงของสงครามโลกครั้งที่สอง ก็มีการตั้งชื่อกลุ่มคนเป็นชั่วรุ่นหรือ generation ต่าง ๆ ชัดเจน แต่ก็มีแตกต่างกันบ้าง เริ่มตั้งแต่ คน Generation B หรือ คนเจน B จากชื่อเต็ม Generation Baby Boomer หมายถึง คนเกิดระหว่างปี ค.ศ. 1946-1964 ตามด้วย คน Gen X (เกิดระหว่างปี ค.ศ. 1965-1980) คน Gen Y (เกิดระหว่างปี ค.ศ. 1981-1996) คน Gen Z (เกิดระหว่างปี ค.ศ. 1997-2009) และล่าสุด คน Gen Alpha (เกิดระหว่างปี ค.ศ. 2010-2025)

สำหรับผลการศึกษาวิจัยที่เป็นโฟกัสเรื่องของเราวันนี้ เกี่ยวข้องกับคนชั่วรุ่น เจนแซด (Gen Z) มากที่สุด เพราะเป็นคนรุ่นหนุ่มสาวใหม่ในปัจจุบัน และจึงเป็นขุมพลังของโลกยุคปัจจุบัน กับอนาคตของชั่วรุ่นมนุษย์ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด...

โดยสำหรับคนชั่วรุ่นเจนแซดก็มีเทคโนโลยีที่เป็น “ปัจจัย” ขับเคลื่อนสังคมมนุษย์ทั้งโลกมากที่สุดอย่างหนึ่ง ที่ชัดเจน คือ สมาร์ตโฟน

ถึงแม้ว่า เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ จะเข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญ ทำให้เกิดโลกยุคดิจิทัล ตั้งแต่กับคนเจนวาย (Gen Y) แต่คนเจนแซด เป็นชั่วรุ่นแรกที่เทคโนโลยีดิจิทัลระดับสมาร์ตโฟน เข้าถึง “บุคคล” ได้อย่างทั่วถึงมากที่สุด

ประกอบกับการระบาดของโควิด-19 ระหว่างปี ค.ศ. 1919-2023 เป็นทั้งตัวเร่งและความจำเป็น ทำให้สมาร์ต โฟนยิ่งกลายเป็นทั้งเครื่องมือการทำงานและการศึกษา เพราะต้องทำงาน “at home” กันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กนักเรียน-นักศึกษา ก็ต้องเรียนแบบ “at home” กันอย่างมาก ทำให้ “อายุ” ของคนต้อง “ใช้” หรือ “เข้าถึง” สมาร์ตโฟน ลดน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กๆ ที่อายุน้อยกว่า 13 ปี ซึ่งโดยปรกติจะเข้าถึงสมาร์ตโฟนอย่างจำกัด

เด็กเล่นสมาร์ตโฟน Cr.Freepik

ถึงแม้การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะยุติลงแล้ว แต่ผลที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับเรื่องการเข้าถึงสมาร์ต โฟนของเด็กอายุน้อยกว่า 13 ปี ก็ไม่สามารถจะ “หวนกลับ” ไปเหมือนก่อนจะมีโควิด-19 ได้

อีกทั้งมีการตั้งประเด็นคำถามว่า การให้เด็กอายุน้อยกว่า 13 ปี ได้มีหรือเข้าถึงสมาร์ตโฟนได้ง่าย เป็นผลร้ายจริงหรือ ?

ในรายงานของคณะศึกษาวิจัย ระบุว่าการศึกษาของสมาร์ตโฟนต่อเด็กอายุน้อยกว่า 13 ปี โดยภาพรวม แสดงผลออกมาในเชิงลบ แต่ก็มีผลที่สรุปออกมาขัดแย้งด้วย ทำให้เป็นปัญหาต่อผู้กำหนดนโยบายการบริหารจัดการกับปัญหาจากสมาร์ตโฟน

เซเปียน แล็บส์ จึงนำประเด็นปัญหาเกี่ยวกับบทบาทของสมาร์ตโฟน มาตั้งเป็นโจทย์ใหญ่และลงลึก เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ผลของสมาร์ตโฟนต่อสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตของคน (ผู้ใหญ่) ที่เข้าถึงและได้ใช้สมาร์ตโฟนตั้งแต่เป็นเด็กอายุน้อยกว่า 13 ปี ลงไปถึงอายุเพียง 5 ปี

นอกเหนือไปจากสรุปผลการศึกษาที่ได้กล่าวถึงไปแล้ว ก็มีผลของการศึกษาที่ละเอียดลงลึกขึ้นอย่างน่าสนใจ เช่น

*ผู้ใหญ่รุ่นใหม่ที่ได้ใช้สมาร์ตโฟนก่อนอายุ 13 ปี มีเอ็มเอชคิวต่ำลงเป็นลำดับกับอายุที่ได้ใช้สมาร์ตโฟน ตัวอย่างเช่น ผู้ใหญ่รุ่นใหม่ที่ได้ใช้สมาร์ตโฟนก่อนอายุ 13 ปี มีเอ็มเอชคิวเฉลี่ย 30 โดยคนได้ใช้สมาร์ตโฟนตั้งแต่อายุ 5 ปี มีเอ็มเอชคิวเพียง 1

*ผลในภาพรวมเชิงลบ เปรียบระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย จากการมีสมาร์ตโฟนตั้งแต่อายุต่ำกว่า 13 ปี เกิดขึ้นกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และเป็นผลที่เกิดขึ้นอย่างตรงกันในทุกศาสนา, วัฒนธรรมและภาษา โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของผลกระทบเกิดกับผู้หญิงสูงขึ้น 9.5% เปรียบเทียบกับผลกระทบเกิดกับผู้ชายสูงขึ้น 7%

*ผลกระทบจากการมีสมาร์ตโฟนตั้งแต่อายุน้อยที่แตกต่างกันระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายยังมีอีก คือ สำหรับผู้หญิง ทำให้เกิดภาพลักษณ์ตนเอง (self image) , คุณค่าตนเอง , ความเชื่อมั่นในตนเอง และความมั่นคงทางอารมณ์ที่น้อยลง...

โดยสำหรับผู้ชาย ทำให้เกิดความมั่นคง, ความมีสติ, คุณค่าของตนเอง และความเข้าใจ (ความเห็นอกเห็นใจ) ในคนอื่นที่น้อยลง

เด็กเล่นสมาร์ตโฟน Cr.Freepik

4 มาตรการปกป้องสุขภาพจิตจากสมาร์ตโฟน

ถึงแม้คณะศึกษาวิจัยจะยอมรับว่า ผลจากการศึกษาวิจัย อาจจะยังไม่ชัดเจนถึงระดับปฏิเสธไม่ได้ ของผลเสียต่อสุขภาพจิต จากการที่เด็กเข้าถึงสมาร์ตโฟน ตั้งแต่อายุน้อยเกินไป คือ น้อยกว่า 13 ปี...

แต่การจะรอให้มีหลักฐานที่แน่ชัดยิ่งขึ้นไปอีก คณะศึกษาวิจัยเชื่อว่า “เสี่ยงเกินไป” สำหรับ “เรื่องใหญ่เกินไป” คือ คุณภาพของมนุษย์ที่กำลังเป็นผู้ใหญ่รุ่นใหม่ในปัจจุบัน และอนาคตของมนุษยชาติโดยภาพรวม

ดังนั้น คณะศึกษาวิจัยจึงเสนอ 4 แนวทางเร่งด่วน โดยโฟกัสการป้องกันปัญหาจากสมาร์ตโฟนต่อคนยุคใหม่ ในลักษณะคล้ายกับมาตรการการป้องกันปัญหาจากบุหรี่และสุรา ต่อเด็กอายุน้อยกว่า 13 ปี ซึ่งกำลังใช้กันอยู่อย่างมีประสิทธิภาพในหลายประเทศทั่วโลก ตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกา

4 มาตรการเร่งด่วนนี้ คณะศึกษาวิจัยเสนอต่อ “ผู้กำหนดนโยบาย” (policy maker) เพื่อให้ใช้หรือออก “นโยบาย” “แนวทางปฏิบัติ” และ “บทลงโทษ” ด้วย ดังต่อไปนี้

(1) การจัดการศึกษาภาคบังคับในส่วนความเกี่ยวพันของสื่อดิจิทัลต่อสุขภาพจิต

(2) ให้ความสำคัญของการคุกคามผ่านสื่อดิจิทัล และการรับผิดชอบของบริษัทเจ้าของเทคโนโลยีดิจิทัล

(3) จำกัดการเข้าถึงแพลตฟอร์มสื่อโซเชียล

(4) จำกัดการเข้าถึงสมาร์ตโฟนอย่างเป็นลำดับความเหมาะสมและความจำเป็น

แล้วมาตรการ 4 ข้อนี้ จะได้ผลหรือไม่ ?

ดร.ทารา เทียการาจัน กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่น, ความจริงจังในเชิงปฏิบัติและความร่วมมือของ :-

(1) ฝ่ายการเมือง การปกครอง ในการออกมาตรการ, กฎระเบียบ, กฎข้อบังคับและการบังคับใช้

(2) ฝ่ายสังคม คือ โรงเรียน, ครอบครัว, สื่อสังคมและเจ้าของหรือผู้ประกอบการเทคโนโลยีสมาร์ตโฟน

หญิงมหัศจรรย์ : ดร.ทารา เทียการาจัน

ดร.ทารา เทียการาจัน เกิดวันที่ 19 เมษายน ค.ศ.1972 ที่เมืองดัลลัสในเท็กซัส สหรัฐอเมริกา จากคุณแม่เป็นหญิงเชื้อสายอินเดียและคุณพ่อเป็นคนแอฟริกันอเมริกัน โดยที่เธอไม่เคยเห็นหน้าผู้ให้กำเนิดทั้งสองเลย เพราะเมื่อเกิดก็เป็นเด็กภายใต้การอุปถัมภ์

ในวัยเด็กก็อยู่ที่สหรัฐอเมริกา เมื่อเติบโตขึ้น ก็ใช้ชีวิตอยู่ทั้งในสหรัฐอเมริกาและอินเดีย เนื่องจากผู้ปกครองอุปถัมภ์เป็นคนเชื้อสายอินเดีย แต่ได้รับการศึกษาหลักในสหรัฐอเมริกา คือ

ปริญญาตรีคณิตศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแบรนไดร์ (Brandeis University) ในเมืองวอลแทม รัฐแมสซาซูเซตส์

ปริญญาโท บริหารธุรกิจ (MBA) จากมหาวิทยาลัยนอร์ทเวิสเวิร์น เมืองอีแวนตัน รัฐอิลลินอยส์

ปริญญาเอกประสาทวิทยา จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ต

ถึงวันนี้ (ตุลาคม ค.ศ. 2025) ดร.ทารา เทียการาจัน ในวัย 53 ปี ได้มีและกำลังสร้างผลงานสำคัญและน่าทึ่งมากมาย

ดร.ทารา เทียการาจัน

นอกเหนือไปจาก 2 เรื่องใหญ่ คือ “เซเปียนแลบส์” และ “โครงการจิตใจโลก” ซึ่งเป็นฐานที่มา ผลการศึกษาวิจัยโฟกัสของเราวันนี้แล้ว ดร.ทารา มีอีกผลงานหนึ่ง ซึ่งกำลังมีบทบาทสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของ “คนยากไร้” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ผู้หญิง” ในอินเดีย คือ การตั้ง บริษัท มาดูราไมโครไฟนานซ์ (Madura Microfinance) ในปี ค.ศ. 2005 มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมือง เจนไน รัฐทมิฬนาฑู ประเทศอินเดีย โดยในปี ค.ศ. 2020 ควบรวมเป็นส่วนหนึ่งของ CreditAccess Grameen ซึ่งในปัจจุบันเป็นบริษัทให้บริการกู้ยืมไมโครไฟนานซ์ใหญ่ที่สุดในอินเดีย

เรื่องราวการก้าวเข้าสู่กิจการเกี่ยวกับไมโครไฟนานซ์อย่างเต็มตัวของ ดร.ทารา น่าสนใจและน่าทึ่ง แต่อย่างสั้นๆ คือ เธอก้าวเข้าสู่โลกของไมโครไฟนานซ์อย่างไม่ตั้งใจ แต่จำเป็นเพราะคุณพ่ออุปถัมภ์ของเธอ ซึ่งดำเนินกิจการเป็นบริษัทให้บริการกู้ยืมเงินแก่ผู้หญิงอินเดียที่ยากจน ชื่อ “เอ็มเอฟไอ” (MFI : Micro-Credit Foundation of India) แต่มีปัญหาด้านสุขภาพ ดร.ทารา จึงเข้ามารับผิดชอบแทน และเธอก็ต้องเข้ามาแก้ปัญหาหนัก เพราะเอ็มเอฟไอ ขาดทุนตลอดมา

แล้ว ดร.ทารา ก็ใช้ความรู้ด้านการบริหารธุรกิจที่เธอจบปริญญาโทมา ตั้ง มาดูราไมโครไฟนานซ์ ขึ้นมา โดยให้มาดูราไมโครไฟนานซ์ เป็นบริษัทแบบธุรกิจ มุ่งหวังผลกำไร แต่มิใช่ผลกำไรเพื่อผลประโยชน์ของบริษัทดังบริษัทธุรกิจทั่วไป และที่สำคัญ เธอก็ปรับระบบของบริษัทให้สามารถเข้าถึง “ผู้หญิง” ในชนบทให้มากที่สุดโดยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และเปิดกว้างรับผู้เข้ามาร่วมช่วยทำงานและกิจกรรม ซึ่งเธอก็ทำได้สำเร็จ

และเมื่อ มาดูราไมโครไฟนานซ์ ควบรวมเข้ากับ บริษัท CreditAccess Grameen ก็ยิ่งทำให้การบริการเรื่อง ไมโครไฟนานซ์ ขยายเพิ่มมากขึ้นอีก

ตลอดชีวิตตั้งแต่เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ดร.ทารา เทียการาจัน ก็ทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับงานวิชาการ และงานการช่วยคนยากไร้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้หญิงอินเดีย...

และเธอก็เป็นนักเดินทางตัวยง เดินทางไปในประเทศต่างๆ ทั่วโลก เช่น จีน, มองโกเลีย, เคนยา, โตโก และมาลี โดยส่วนใหญ่ มิใช่การเดินทางอย่างสะดวกสบายเลย

ดังนั้น สำหรับผู้เขียน การมีชีวิตที่เริ่มต้นกับการต้องเป็น “กำพร้า” ผู้บังเกิดเกล้าตั้งแต่เกิด แต่แทนที่จะ “ติดหล่ม” กับความรู้สึกหดหู่น้อยใจในชะตากำเนิด กลับสามารถสร้างผลงานสำคัญเป็นที่พึ่งและให้ความหวังกับคนยากไร้ จำนวนมหาศาล เท่านี้ ก็เพียงพอสำหรับการยกย่องให้ ดร.ทารา เทียการาจัน เป็น “หญิงมหัศจรรย์” ตัวจริงคนหนึ่งของโลก

อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS

“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech

 

แท็กที่เกี่ยวข้อง

Thai PBS Sci & Tech Thai PBS Sci And Tech Scienceสมาร์ตโฟนGen Zวิทยาศาสตร์ ทันโลก ทันชีวิตชัยวัฒน์ คุประตกุล
 รศ. ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล

ผู้เขียน:  รศ. ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล

นักวิทยาศาสตร์ และนักอนาคตศาสตร์ เจ้าของคอลัมน์ ​"วิทยาศาสตร์ ทันโลก ทันชีวิต"

บทความ NOW แนะนำ

ข่าวล่าสุด