วันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 2025 คณะวิจัยนำโดย ศาสตราจารย์ ฟรันเซลโก เชโคนี (Francesco Cecconi) ที่มหาวิทยาลัยคาทอลิกแห่งมิลาน (Catholic University of Milan) ประเทศอิตาลี ตีพิมพ์รายงานในวารสาร Science Advances การค้นพบสวิตช์ซ่อนอยู่ในเซลล์ มีศักยภาพเพื่อการบำบัดโรคพาร์กินสัน รวมไปถึงความผิดปรกติของไมโทคอนเดรียในเซลล์และมะเร็ง
“วิทยาศาสตร์ ทันโลก ทันชีวิต” วันนี้ ขอนำท่านผู้อ่าน ไปดูความก้าวหน้าของวงการวิทยาศาสตร์การแพทย์ล่าสุด ในการต่อสู้กับโรคที่กำลังคุกคาม มิใช่เฉพาะคนสูงอายุทั่วโลก คือ โรคพาร์กินสัน รวมไปถึงความผิดปรกติของ ไมโทคอนเดรีย ที่เป็น “power house” หรือตัวผลิตพลังงาน คล้าย “แบตเตอรี่” หรือ “โรงไฟฟ้า” สำหรับเซลล์ โดยคณะวิจัยมองไปไกลถึงการรักษามะเร็งด้วย
โรคพาร์กินสันกับการคุกคามคนป่วยกำลังมีอายุน้อยลง
ก่อนไปดูผลงานการค้นพบใหม่ เราไปทบทวนเรื่องราวบางอย่างที่น่าสนใจเกี่ยวกับโรคพาร์กินสันกันก่อนอย่างเร็ว ๆ
*ปี ค.ศ. 1817 นายแพทย์ชาวอังกฤษ เจมส์ พาร์กินสัน (James Parkinson : ค.ศ. 1755-1824) ตีพิมพ์หนังสือชื่อ An Essay on Shaking Palsy (เรียงความเกี่ยวกับอาการสั่นอัมพาต) เป็นบันทึกการแพทย์ยุคใหม่ครั้งแรกของโรคพาร์กินสัน
ในหนังสือ กล่าวถึงกรณีของคน 9 คน มีอาการเหมือนกัน 3 อย่าง คือ (1) สั่น (2) ปัญหาการทรงตัว (3) อัมพาต โดย เจมส์ พาร์กินสัน เรียกเป็น “Shaking Palsy” คือ คนมีอาการอัมพาต (ชั่วคราว) และสั่น
*เจมส์ พาร์กินสัน คิดว่า สาเหตุของ Shaking Palsy น่าจะเกี่ยวกับปัญหาเกิดกับเส้นประสาทไขสันหลัง
*ปี ค.ศ. 1877 ฌอง-มาร์ติน ชาร์โค (Jean-Martin Charcot : ค.ศ. 1825-1893) นักประสาทวิทยาชาวฝรั่งเศส ได้ศึกษา Shaking Palsy และตั้งชื่อเรียกเป็น Parkinson’s disease
*เจมส์ พาร์กินสัน ได้รับการยกย่องเป็น “Father of Parkinson’s Disease” (“บิดาแห่งโรคพาร์กินสัน”) ส่วน ฌอง-มาร์ติน ชาร์โค ได้รับการยกย่องเป็น “Father of Neurology” (“บิดาแห่งประสาทวิทยา”)

สำหรับสถานการณ์เกี่ยวกับโรคพาร์กินสันในปัจจุบัน ตามข้อมูลล่าสุดจาก Parkindon’s Europe (parkinsoneurope.org) ประเทศอังกฤษ องค์การอนามัยโลกและอื่น
*ทั่วโลกในปัจจุบัน มีคนป่วยเป็นโรคพาร์กินสันประมาณ 10 ล้านคน จากประชากรโลกทั้งหมดประมาณ 8.14 พันล้านคน
*คนป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
*คนป่วยเป็นโรคพาร์กินสันส่วนใหญ่ มีอายุมากกว่า 60 ปี
*พาร์กินสันกำลังเป็นโรคเกี่ยวกับระบบประสาทที่มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มเร็วที่สุดในโลก คาดว่า จำนวนผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า คือ เป็น 20 ล้านคน เมื่อถึงปี ค.ศ. 2050
สำหรับสถานการณ์ถึงล่าสุดในประเทศไทย
จากสภากาชาดไทยและจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล สรุปได้ว่า
*จำนวนผู้ป่วยเป็นโรคพาร์กินสันในปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 360,000 คน คิดเป็น 3% ของประชากรคนสูงวัยรวม 12 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากเมื่อ ปี ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553) ซึ่งมีคนป่วยเป็นโรคพาร์กินสันอยู่ประมาณ 60,000 คน
แล้วก็มี คำถามหนึ่งที่อยู่ในใจของคนป่วยเป็นโรคพาร์กินสันและญาติพี่น้อง รวมไปถึงคนทั่วไปด้วย ซึ่งในปัจจุบัน มีคำตอบชัดเจนแล้ว คือ โรคพาร์กินสันมีผลทำให้คนป่วยอายุสั้นหรือไม่ ?
คำตอบคือ “ไม่!”
โรคพาร์กินสันไม่ทำให้คนป่วยอายุสั้น แต่โดยทั่วไป ก็มีผลต่อการดำเนินชีวิตและสุขภาพจิต รวมถึงญาติพี่น้องที่ต้องเอาใจใส่ดูแล...
ยกเว้น “คนพิเศษ” ที่ไม่ยอมแพ้ แถมยังมุ่งมั่น “เอาชนะ” ซึ่งก็มีตัวอย่าง “คนไม่ยอมแพ้” ปรากฏเป็นกำลังใจแก่คนป่วยโรคพาร์กินสันคนอื่น ๆ อยู่

แนวโน้มเกี่ยวกับโรคพาร์กินสันอย่างหนึ่ง ที่กำลังถูกจับตามอง คือ ระดับอายุของผู้ป่วย ซึ่งมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นกับคนอายุน้อยลง จนกระทั่งมีการจัดกลุ่มผู้ป่วยเป็นโรคพาร์กินสันที่เป็นผู้ใหญ่ แต่มีอายุน้อยกว่าที่เป็นคนสูงอายุทั่วไป คือ มีอายุอยู่ระหว่าง 50-60 ปี และต่ำลงไปอีกถึง 40 ปี...
รวมไปถึงผู้ใหญ่รุ่นใหม่กว่าลงไปอีก คือ อายุน้อยกว่า 40 ปี ซึ่งถึงแม้จะยังมีอยู่ไม่มาก แต่ก็มีอยู่จริง ดังเช่นกรณีของ ไมเคิล เจ. ฟอกซ์ (Michael J. Fox) ดารานักแสดงโด่งดังกับภาพยนตร์ชุด Back To The Future ทั้ง 3 ภาค (ภาค 1 ค.ศ. 1985 , ภาค 2 ค.ศ. 1989 , ภาค 3 ค.ศ. 1990)
ไมเคิล เจ. ฟอกซ์ ได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคพาร์กินสันในปี ค.ศ. 1991 ขณะมีอายุ 30 ปี แต่เก็บเป็นความลับอยู่นานถึง 9 ปี แล้วจึงเปิดเผยตนเองว่า เป็นคนป่วยด้วยโรคพาร์กินสัน
ถึงแม้จะป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน แต่ ไมเคิล เจ. ฟอกซ์ ก็ยังทำงานด้านการแสดง ทั้งภาพยนตร์และโทรทัศน์ รวมทั้งงานอื่น ๆ อย่างไม่หยุดนิ่ง จนกระทั่งเมื่ออายุมากขึ้นอีก และอาการป่วยรุนแรงขึ้น เขาจึง “ลด” แต่ “ไม่เลิก” งานที่เขาทำทั้งหมด จนกระทั่งถึงปัจจุบัน (อายุ 64 ปี) ...
และที่สำคัญ หลังการเปิดเผยว่า ตนป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน อีกสองปีต่อมา คือปี ค.ศ. 2000 เขาก็ตั้ง Michael J. Fox Foundation for Parkinson’s Research (มูลนิธิไมเคิล เจ. ฟอกซ์ เพื่อการวิจัยโรคพาร์กินสัน) ซึ่งในปัจจุบัน เป็นมูลนิธิใหญ่ที่สุดในโลก ที่ให้การสนับสนุนการวิจัยโรคพาร์กินสัน โดยในปี ค.ศ. 2022 มูลนิธิได้ให้เงินสนับสนุนการวิจัยโรคพาร์กินสัน มากกว่าเงินสนับสนุนการวิจัยจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา
ไมเคิล เจ. ฟอกซ์ จึงเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจน ของคนป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน ที่ “ไม่ยอมแพ้” แถมยังทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ ในการช่วยคนอื่น ๆ ในสงครามการต่อสู้กับโรคพาร์กินสัน
อาการและสาเหตุโรคพาร์กินสัน : ก่อนผลการวิจัยใหม่
ก่อนการตีพิมพ์ผลงานการวิจัยที่เป็นโฟกัสเรื่องของเราวันนี้ เรื่องเกี่ยวกับอาการและสาเหตุของการเกิดโรค พาร์กินสัน สรุปอย่างสั้น ๆ ได้ว่า
*ในส่วนของ “อาการ” วงการแพทย์มีข้อสรุปมากมาย และค่อนข้างไม่ชัดเจน
*ในส่วนของ “สาเหตุ” วงการแพทย์ก็มีข้อมูลมากมาย แต่ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนโดยยังแบ่งเป็น 2 ส่วนที่เจาะศึกษากันอยู่ คือ
(1) สาเหตุต้นทางของโรค ดังเช่นว่า เกิดจาก “พันธุกรรม” หรือ “ยีน” ที่ติดตัวคนป่วยมาตั้งแต่เกิด แล้วมาแสดงอาการภายหลัง หรือเกิดจาก “สภาพแวดล้อม” และ “พฤติกรรมการดำเนินชีวิต” ตั้งแต่ยังเป็นเด็กทารก ถึงการแสดงออกของอาการโรคพาร์กินสัน
(2) กลไลการทำงานของโรคพาร์กินสันว่า เกิดจาก “องค์ประกอบ” ส่วนไหนของร่างกาย เช่น เซลล์ หรือ อวัยวะ
สำหรับผลงานของการวิจัยที่เป็นโฟกัสเรื่องของเรา จะเกี่ยวกับส่วนที่ 2 ของสาเหตุเป็นสำคัญ แต่ก่อนจะไปเปิดดูผลการวิจัย เราไปดูอาการของโรคพาร์กินสันที่ทราบกันถึงปัจจุบันอย่างเร็ว ๆ เพื่อประกอบความเข้าใจในผลงานการวิจัยใหม่ด้วย

โรคพาร์กินสัน : อาการ
อย่างเร็ว ๆ อาการของโรคพาร์กินสัน จะแบ่งได้ออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนหนึ่ง เป็นอาการเกี่ยวกับระบบความเคลื่อนไหวของร่างกาย เช่น (1) นิ้วสั่น มือสั่น (2) ร่างกายเคลื่อนไหวช้าลง (3) การทรงตัวมีปัญหา (4) หน้าชาเหมือนเป็นอัมพาตชั่วคราว ตาแข็ง กะพริบตาไม่ได้ ปากแข็ง พูดลำบาก เหมือนคนใส่หน้ากาก
อีกส่วนหนึ่ง เป็นอาการไม่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย เช่น (1) จมูกไม่ได้กลิ่น ปากไม่รู้รส หรือได้กลิ่น รู้รสน้อยลง (2) ท้องผูกบ่อย (3) นอนไม่หลับ (4) การคิดและการจำช้าลงหรือน้อยลง (5) เหนื่อยง่าย
แต่มิได้หมายความว่า คนมีอาการเหล่านี้ จะเป็นโรคพาร์กินสัน กันหมด เพราะมีความผิดปรกติของร่างกาย หรือโรคอย่างอื่น ทั้งที่เกี่ยวกับระบบประสาทและไม่เกี่ยวกับระบบประสาทโดยตรง ที่เป็นสาเหตุของอาการเหล่านี้
แล้วจะทราบได้อย่างไร ?
อย่างตรง ๆ ถึงขณะนี้ วงการแพทย์ก็ยังไม่มีวิธีตรวจหาโรคพาร์กินสันโดยตรง
อย่างไรก็ดี สำหรับคนที่สงสัยหรือเริ่มมีอาการแบบโรคพาร์กินสัน วิธีที่ปฏิบัติกันในปัจจุบัน มีก็คือ ให้มีการตรวจสภาพร่างกายคนป่วยที่โรงพยาบาล โดยแพทย์ก็จะซักประวัติโดยละเอียด แล้วก็ให้ตรวจร่างกายอย่างละเอียด โดยวิธีการสแกนสมอง และอวัยวะอื่น ๆ ของร่างกายรวมทั้งการตรวจเลือด
แต่การตรวจทั้งหมด เป้าหมายจริง ๆ ก็คือ ให้เกิดความมั่นใจว่า อาการที่ปรากฏ มิได้เกิดจากสาเหตุอื่น ๆ
จากนั้น แพทย์ก็จะให้การศึกษา “ตามอาการ” ดังเช่น โดยการให้ยา ควบคุมอาหาร และวิธีปฏิบัติอื่น ๆ
แล้วก็หวังว่า อาการที่แสดงออกจะ “หาย” หรือ “บรรเทา”
หรือ เมื่อแพทย์ตรวจพบ “สาเหตุ” ตรง ๆ ของอาการพาร์กินสัน ก็จะมีวิธีการรักษาโดยตรง ดังเช่น การผ่าตัด , การฉายรังสี , การทำเคมีบำบัด (คีโม) , การใช้ยา , การทำกายภาพบำบัด และอื่น ๆ
จากนี้ ก็มาถึงเรื่องของผลการวิจัยที่เป็นโฟกัสหลักของเราวันนี้ และเป็นหนึ่งในความพยายามของวงการวิทยาศาสตร์การแพทย์ในการตอบโจทย์โดยตรง สำหรับการต่อสู้กับโรคพาร์กินสัน แต่จะ “ตอบโจทย์” ได้มากแค่ไหน เราไปดูกัน

การค้นพบใหม่ : สวิตช์ซ่อนอยู่ในเซลล์
รายงานการค้นพบใหม่ที่เป็นโฟกัสเรื่องของเราวันนี้ ชื่อ “The PP2A-B55a phosphatate is a master regulator of mitochondrial degradation and biogenesis” ความหมายแปลตรง ๆ คือ “PP2A-B55a (พีพี2เอ-บี55อัลฟา) เป็นสวิตช์ควบคุมหลักการเสื่อมสภาพและการเกิดใหม่ของไมโทคอนเดรีย” ซึ่งขยายความให้เข้าใจง่ายและชัดเจนขึ้นได้เป็น
“พีพี2เอ-บี55อัลฟา เป็นสวิตช์หลักควบคุมจำนวนไมโทคอนเดรียในเซลล์ ให้มีอยู่เป็นจำนวนที่เหมาะสมสำหรับเสถียรภาพการทำงานของเซลล์ โดยการกำจัดไมโทคอนเดรียที่เสื่อมสภาพ และการเกิดใหม่ของไมโทคอนเดรีย เพื่อชดเชยไมโทคอนเดรียที่เสื่อมสภาพไป”
จากชื่อของรายงาน อย่างตรง ๆ ก็คือ คณะวิจัยได้ “ชี้เป้า” หรือ บอกคำตอบที่ถูกตั้งเป็นคำถามมาก่อนว่า อะไรเป็น “กลไก” การทำงานของโรคพาร์กินสัน ซึ่งจากการทำงานของคณะวิจัย ได้ชี้ไปที่เอนไซม์หรือโปรตีนฟอสฟาเทส ชนิดจำเพาะชื่อ พีพี2เอ-บี55อัลฟา (เรียกสั้น ๆ เป็น ฟอสฟาเทสบี55 หรือ สวิตช์ บี55) ว่า เป็น “กลไก” หรือ “ตัวการ” ของโรคพาร์กินสันที่วงการวิทยาศาสตร์ต้องการ
แล้วเอนไซม์ บี55 อยู่ที่ไหน ? ทำหน้าที่อะไร ?
อย่างสั้น ๆ พี55 เป็นโปรตีนหรือเอนไซม์มีอยู่ทั่วไป หรืออาจเรียกว่า กระจาย “ซ่อนตัว” อยู่ในเซลล์ รวมทั้งในนิวเคลียสของเซลล์ ซึ่งจะแสดงตัวเมื่อเซลล์หรือร่างกาย “เกิดปัญหา” เพื่อรักษาสภาพหรือสมดุลของเซลล์
ข้อสรุปผลการวิจัยได้มาอย่างไร ?
คณะวิจัยจับและเจาะลึกประเด็นในบทบาทของเอนไซม์ บี55 ต่อแหล่งพลังงานของเซลล์ คือ ไมโทคอนเดรีย ซึ่งถูกจับตามองโดยวงการวิทยาศาสตร์อยู่แล้วว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคพาร์กินสัน
วิธีการของคณะวิจัย คือ เจาะศึกษากับเซลล์ของมนุษย์ที่ถูกเพาะเลี้ยงขึ้นมา (Culture cell) และแมลงหวี่
จากการศึกษากับเซลล์ของมนุษย์อย่างลงลึกในส่วนเกี่ยวข้องกับไมโทคอนเดรีย และ เอนไซม์ต่าง ๆ คณะวิจัยพบว่า เอนไซม์ บี55 มีบทบาทอย่างสำคัญในการรักษาสภาพหรือสมดุลการทำงานของเซลล์ ที่เกี่ยวข้องกับจำนวนของ ไมโทคอนเดรีย ทั้งในการ “ชดเชย” หรือ “สร้าง” ไมโทคอนเดรียใหม่แทนไมโทคอนเดรียที่เสื่อมสภาพ และควบคุมจำนวนไมโทคอนเดรีย มิให้มากหรือน้อยเกิน “ความพอดี”
สรุปก็คือ คณะวิจัยได้พบว่า เอนไซม์ บี55 ทำหน้าที่เป็น “สวิตช์” ควบคุมจำนวนไมโทคอนเดรีย ที่ถูกทำลายไป กับที่เกิดใหม่ ให้อยู่ในสภาพสมดุล
ในส่วนการศึกษากับแมลงหวี่ พบว่าการปรับระดับของเอนไซม์ บี55 มีผลต่ออาการโรคพาร์กินสัน คือ การเคลื่อนไหวของแมลงหวี่คล่องแคล่วขึ้นหรือน้อยลง แสดงว่าสวิตช์ บี55 มีผลต่อโปรตีนชื่อ พาร์กิน (parkin) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมกลไกเกี่ยวกับจำนวนของไมโทคอนเดรีย
โปรตีนพาร์กิน เกิดจากยีนชื่อเดียวกัน คือ ยีนพาร์กิน ซึ่งถูกค้นพบและศึกษาในช่วงปี ค.ศ. 1996-1998 ว่า เกี่ยวข้องกับการเกิดอาการของโรคพาร์กินสัน และชื่อโปรตีนพาร์กินสัน ก็ถูกเรียกตามชื่อโรคพาร์กินสัน

ก้าวต่อไป : โรคพาร์กินสันบำบัด ความผิดปรกติของไมโทคอนเดรียและมะเร็ง
บทสรุปรวบยอดของการวิจัย คือ การค้นพบบทบาทของเอนไซม์หรือโปรตีน บี55 ว่า เป็นสวิตช์ซ่อนอยู่ในเซลล์ ทำหน้าที่เป็นตัวควบคุมการทำงานของไมโทคอนเดรีย ที่เป็นต้นเหตุของโรคพาร์กินสัน
ก้าวต่อไปและความคาดหวังของคณะวิจัย คืออะไร ?
ศาสตราจารย์ ฟรันเซลโก เชโคนี กล่าวว่า ก้าวต่อไปคือ การเจาะศึกษาและเพิ่มระดับการทดลองกับตัวอย่างที่เป็นมนุษย์ (จากการที่ทำกับเซลล์มนุษย์เพราะเลี้ยงในห้องแล็บ และการทดลองกับแมลงหวี่) ในระดับคลินิก โดยพุ่งเป้าไปที่การบำบัดโรคพาร์กินสัน
แนวทางหนึ่งที่ศาสตราจารย์ฟรันเซสโก เชโคนี กล่าว คือ การพัฒนายาโมเลกุลขนาดเล็ก ๆ ที่สามารถเจาะเข้าไปในสมอง เพื่อจัดการกับเส้นประสาทเกี่ยวกับการผลิตโดพามีน (dopamine) ซึ่งเป็นสารเคมี (สารสื่อประสาท) ในสมอง ทำหน้าที่ให้เกิดความรู้สึกที่ดี มักเรียกกันเป็น “สารแห่งความสุข” และเกี่ยวกับการทำงานของไมโทคอนเดรียอย่างสำคัญ
นอกเหนือไปจากการมุ่งเป้าเพื่อรักษาโรคพาร์กินสัน ศาสตราจารย์ฟรันเซสโก เซโคนี กล่าวถึงความคาดหวังจากการพบสวิตช์ใหญ่ควบคุมการทำงานของไมโทคอนเดรียว่า สามารถจะนำไปสู่การพัฒนายา เพื่อควบคุมหรือช่วยการทำงานของสวิตช์ บี55 ในการบำรุงรักษาและแก้ไขความผิดปรกติของไมโทคอนเดรียทั้งโดยทั่วไป และความผิดปรกติเฉพาะทางด้วย
สุดท้าย ศาสตราจารย์ฟรันเซสโก เชโคนี กล่าวถึงโรคมะเร็งด้วยว่า จากการศึกษาพบความเกี่ยวพันระหว่างคุณภาพและจำนวนของไมโทคอนเดรีย กับความยืดหยุ่นและการดื้อยาของเนื้องอกด้วย ทำให้การควบคุมการทำงานของสวิตช์ บี55 อาจเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการรักษาโรคมะเร็ง
ถึงขณะนี้ คณะวิจัยยังไม่ระบุว่า จะสามารถ “ส่งมอบ” ยา หรือวิธีการรักษาเฉพาะโรคพาร์กินสันได้เมื่อไร !
แต่ผู้เขียนก็กำลังเอาใจช่วย ทั้งคณะวิจัย (ที่เป็นโฟกัสเรื่องวันนี้และนักวิจัยคนอื่น ๆ) และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน ให้คณะวิจัย “ส่งมอบ” ยาหรือวิธีรักษาโรคพาร์กินสันได้โดยเร็ว
ท่านผู้อ่านล่ะครับ ก็ “เอาใจช่วย” ทั้งคณะวิจัยและผู้ป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน เช่นเดียวกับผู้เขียนด้วย ใช่ไหมครับ ?
อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech




















