เป็นธรรมดาที่หากคู่รักเลิกรา ต่างฝ่ายต่างต้อง move on กันไป แต่ถ้าเกิดจบความสัมพันธ์ช่วงท้ายปี ก็คงจะยากยิ่งกว่าเดิมสำหรับใครหลายคน
แน่นอนว่า เมื่อเราพบเจอใครที่ถูกใจสักคนแล้ว ก็อยากที่จะรักษาความสัมพันธ์กันไปนาน ๆ และ “อยู่ทน” ต่ออุปสรรคต่าง ๆ แต่เมื่อความรักกลายเป็นพิษหรือมีปัญหารุมเร้าเกินกว่าที่จะรับไว้ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้อง “ทนอยู่” ในสภาวะเช่นนั้น ทุกวันนี้ หลายคนจึงไม่ได้มองว่า การเลิกรากับการหย่าร้างเป็น “ความล้มเหลว” ในชีวิต หากแต่เป็น “ความกล้าหาญ” ที่คนคนหนึ่งยอมรับความเป็นจริง เพื่อให้ชีวิต move on ต่อไปได้
นี่ไม่ได้หมายความว่า การ move on หรือการทำใจอะไรต่าง ๆ จะง่ายขึ้นนะครับ ขึ้นชื่อว่า “จบ” ก็ต้อง “เจ็บ” ไม่มากก็น้อยอยู่ดี คำถามจึงอยู่ที่ว่า หากเราเลิกรากับคนรักช่วงใกล้วันสิ้นปี ควรรับมือและ move on อย่างไรให้เจ็บน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ?

ไขความเชื่อ ‘ธันวาคม’ เดือนของคนอกหัก-คน move on ?
พอพูดถึงเรื่องการจบความรักความสัมพันธ์ หลายคนคงเคยได้ยินกันว่า ธันวาคมเป็นเดือนที่คู่รักจะแยกทางและแยกย้ายกันไป move on มากที่สุด โดยเฉพาะวันที่ 11 ธันวาคม ซึ่งขึ้นชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่าเป็น “วันแห่งการเลิกรา” อย่างไรก็ดี นี่อาจเป็นชุดความเชื่อที่ “เก่า” ไปเสียแล้วครับ
ความเชื่อที่ว่า “ธันวาคมเป็นเดือนของคนอกหัก” นั้น ถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 2008 นักสถิติ 2 คน ได้แก่ เดวิต แมคแคนด์เลส (David MacCandless) และลี ไบรอน (Lee Byron) ได้วิเคราะห์สเตตัสนับหมื่นของผู้ใช้งาน Facebook พวกเขาพบว่า หลายคนเปลี่ยนสถานะของตัวเองว่า “โสด” ในวันที่ 11 ธันวาคม หรือราว 2 สัปดาห์ก่อนวันคริสต์มาส อย่างไรก็ดี ก็มีข้อโต้แย้งว่า การวิเคราะห์ดังกล่าวนั้นทำแบบไม่เป็นทางการ และข้อมูลก็มีอายุเป็นสิบปีแล้ว อีกทั้งทุกวันนี้ คงมีน้อยคนที่ยังอัปเดตสถานะความสัมพันธ์ของตัวเองบน Facebook กัน
ช่วงคริสต์มาสหรือเทศกาลใหญ่ใด ๆ อยู่ครับ เหตุผลข้อหนึ่งคือ เทศกาลใหญ่เป็นดั่งช่วงเวลาวัดระดับ “ความจริงจัง (commitment)” ในความสัมพันธ์ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเอ่ยปากชวนอีกฝ่ายไปเจอพ่อแม่พี่น้องพร้อมฉลองช่วงเวลาสำคัญไปในตัว คนถูกชวนอาจไม่อยากไปหรือเกิดกลัวก็เป็นได้
เหตุผลอีกข้อหนึ่งที่คู่รักหลายคู่เลิกกันก่อนคริสต์มาสหรือวันปีใหม่คือ เงินในกระเป๋าหรือบนหน้าแอปฯ ธนาคาร เมื่อหน้าเทศกาลมาถึง ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องกินเลี้ยงสังสรรค์ต่าง ๆ ส่วนคนมีแฟนก็อาจคาดหวัง “ของขวัญพิเศษ” จากซานตา (หรือซานตี) ของตัวเองกัน อย่างไรก็ตาม บางคนก็ไม่อยากเสียเงินซื้อของขวัญคริสต์มาสเพื่อเอาใจใคร รวมถึงอาจ “ตั้งท่า” บอกเลิกคนรักด้วยปัญหาต่าง ๆ ที่สะสมระหว่างทางเป็นทุนเดิม จึงตัดสินใจจบความสัมพันธ์ในเดือนสุดท้ายของปี แล้ว move on กับชีวิตต่อ ในอังกฤษ มีคำเรียกคนที่หักอกคู่รักในฉากทัศน์เช่นนี้ว่า ‘Scrooging’ ซึ่งมีความหมายดั้งเดิมคือ คนตระหนี่ขี้เหนียว
ถึงแม้ความเชื่อเรื่อง “ธันวาคมเดือนอาถรรพ์รัก” จะยังพิสูจน์ไม่ได้อย่างเป็นรูปธรรม แต่เมื่อทางรักสิ้นสุดลงในช่วงเวลาดังกล่าว ก็ยังมีหลายวิธีที่พร้อมช่วยให้ชีวิต move on ต่อไปได้

กุญแจสู่การ move on ไม่ให้เป็นวงกลม
การ (ตัด) จบความรักความสัมพันธ์ส่งผลกระทบทางใจต่อคนอกหักต่างกันไป บางคนอาจรู้สึกใจสลายไม่นานแล้วลุกขึ้นมา move on ต่อไปได้ ส่วนบางคนอาจเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า โดยมี 2 ปัจจัยหลัก ๆ ที่สามารถกำหนดถึงผลกระทบทางใจ ได้แก่ ความปุบปับของการเลิกรา และการรับรู้ของเราต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปว่าเป็นบวกหรือลบ ทั้งนี้ ก็มีคำแนะนำเชิงจิตวิทยาอาจช่วยให้การ move on ช่วงวันสิ้นปีราบรื่นขึ้น เช่น
1) ยอมรับกับตัวเองว่า “กำลังอยู่ในสภาวะใจพัง”
แม้ช่วงคริสต์มาสและปีใหม่จะอบอวลไปด้วยแสงสีและความสนุกสนานต่าง ๆ แต่หากเราฝืนร่าเริงและทำท่าทีเหมือน move on ได้แล้วทั้งที่ใจไม่ไหว อาจส่งผลเสียมากกว่าดีก็เป็นได้ ดังนั้น จึงควรยอมรับอารมณ์และความรู้สึกหนัก ๆ กับตัวเองเสียก่อน และไม่เป็นอะไรเลยหากจะยังรู้สึกไม่โอเคกับเหตุการณ์รักซ้ำที่เพิ่งเกิดขึ้น บางคนอาจเขียนไดอารีเพื่อปลดปล่อยสรรพสิ่งในใจ ก็ช่วยได้เช่นกัน
2) หาคนช่วยและแรงใจ move on
การพูดคุยกับคนที่ไว้ใจได้ และ/หรือ ผู้เชี่ยวชาญ ก็ช่วยให้เราตกตะกอนหรือระบายความในใจออกมา ในกรณีที่คุยกับคนที่ไว้ใจได้ เราเองก็ต้องให้ความสำคัญกับคนเหล่านี้กลับไปด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ การหาความสนใจใหม่ ๆ หรือได้ทำอะไรที่ตัวเองชอบ ไม่ว่าจะเป็นการติ่งศิลปิน ออกกำลังกาย ท่องเที่ยว ฯลฯ ก็สำคัญต่อการฮีลใจและ move on ต่อไป
3) ลดเวลาโซเชียลมีเดียลง สนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากขึ้น
บางครั้ง การใช้เวลาบนโซเชียลมีเดียและหน้าจอมือถือ ก็อาจทำให้ใจฟุ้งซ่านและ move on เป็นวงกลมยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะตอนเห็นรูปภาพกับแฟนเก่า จึงเป็นเรื่องที่ดีกว่าหากเราหากิจกรรมอื่น ๆ ทำให้ร่างกายได้ขยับ อีกทั้งได้ถนอนสายตาไปในตัวอีกด้วย

4) ดูแลตัวเองผ่านอาหารกายใจ
หลังผ่านช่วงเวลาอกหัก บางคนอาจไม่อยากกินอะไร หรือบางคนอยากตามใจปากสุดขั้ว แต่ทางที่ดีที่สุดคือ กินอาหารให้ครบ 5 หมู่และกินให้พอดี และอย่าดื่มแอลกอฮอล์เป็นตัวช่วย move on เพราะอาจเป็นพิษต่อร่างกายและขาดสติสัมปชัญญะได้ แต่นอกจากข้าวปลาจะสำคัญแล้ว การออกกำลังกาย การพักผ่อนที่เพียงพอ และการฝึกสมาธิก็ขาดไม่ได้เช่นกันในการ move on
5) เมื่อพร้อม move on ก็ลองถามใจตัวเองดูในเรื่องต่าง ๆ
สภาวะหลังอกหักอาจเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ “ประเมิน” ตัวเองและความต้องการของตัวเองในอนาคต เช่น ทำไมเราถึงอยากมีแฟน ? รู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายควบคุมหรือถูกควบคุมเมื่อมีแฟน ? การมีแฟนทำให้ชีวิตเป็นสุขหรือทุกข์มากกว่ากัน ? เป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตคืออะไร ? ถึงจะต้องใช้เวลาพักใหญ่เพื่อตอบคำถามเหล่านี้ แต่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อนตอบด้วยเช่นกัน
การอยู่ในสภาวะอกหักไม่ใช่และไม่เคยเป็นเรื่องง่าย ต้องใช้เวลา ตัวช่วยต่าง ๆ และการสำรวจตัวเองครั้งใหญ่เพื่อให้ชีวิตจะ move on ต่อไปได้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เราต้องรักตัวเอง และยอมรับความรู้สึกทั้งร้ายดีที่เกิดขึ้นในใจของเรานั่นเองครับ
รอบรู้เรื่องรัก ไปกับบทความจาก Thai PBS NOW
- 5 เรื่องต้องรู้ หากคุณมีความรักในที่ทำงาน
- 11 พฤศจิกายน วันคนโสด แต่หัวใจไม่โศก
- 4 เหตุผล ทำไมโลกถึง “อิน” กับความรักของคนดัง ?
อ้างอิง
- Break Ups: How to Help Yourself Move On, University of New Hampshire
- Economist: ‘Tis the Season to Break Up, Time
- It's 'National Breakup Month'. Here are expert tips on dealing with heartbreak, CBC
- It’s the most popular day for breakups! Here’s how I got through mine..., The Independent
- 'Scrooging' is the new dating trend that will ruin your Christmas, BBC
ติดตามบทความและเรื่องราวทันทุกกระแสที่ Thai PBS NOW: www.thaipbs.or.th/now



















