ที่สร้างความเสียหายรุนแรงและแพร่ระบาดมากที่สุดในประเทศ มาตรการดังกล่าวมีต้นกำเนิดจากแนวคิดที่เสนอระหว่างการอภิปรายงบประมาณของกระทรวงมหาดไทย ก่อนจะได้รับความเห็นชอบและประกาศให้มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป
สิงคโปร์ทำอย่างไร? หลังความเสียหายพุ่งเกือบแสนล้านบาท
คุณซิม แอนน์ รัฐมนตรีอาวุโสกระทรวงมหาดไทยของสิงคโปร์ เปิดเผยว่า อาชญากรรมหลอกลวงเป็นอาชญากรรมที่พบมากที่สุดในประเทศ และถือเป็นความผิดทางอาญาระดับร้ายแรง เนื่องจากขบวนการเหล่านี้ ใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการวางแผนและแสวงหาผลประโยชน์จากผู้เสียหาย
“หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้รัฐบาลต้องเข้มงวดขึ้น คือกรณีขบวนการหลอกลวงใน “กัมพูชา” ที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐสิงคโปร์ ก่อความเสียหายกว่า 41 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ส่งผลให้มีการออกหมายเรียกชาวสิงคโปร์ 27 คน และชาวมาเลเซียอีก 7 คน ที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง “คุณซิม แอนน์ กล่าว
คุณซิม แอนน์ รัฐมนตรีอาวุโสกระทรวงมหาดไทยของสิงคโปร์
ขณะที่ข้อมูลจากกระทรวงมหาดไทยสิงคโปร์ ระบุว่า ระหว่างปี 2020 ถึงกลางปี 2025 มีคดีหลอกลวงเกิดขึ้นกว่า 190,000 คดี มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 3,700 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือราว 90,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 60% ของอาชญากรรมทั้งหมดในประเทศ
รูปแบบการหลอกลวงออนไลน์ยอดนิยมในสิงคโปร์มีอะไรบ้าง?
- การแอบอ้างเป็นผู้ขายหรือผู้ซื้อบนแพลตฟอร์มช็อปปิงออนไลน์
- Romance Scam หรือการหลอกให้รักเพื่อผลประโยชน์
- การแอบอ้างเป็นหน่วยงานรัฐ ธนาคาร หรือบุคคลใกล้ชิ
- การหลอกลวงผ่านบริษัทจัดหางานที่เสนอรายได้สูงเกินจริง
- การส่งอีเมลหรือข้อความปลอมแนบลิงก์ให้กรอกข้อมูลส่วนตัว
“โทษเฆี่ยน” มีโทษหนักแค่ไหนในสิงคโปร์?
ก่อนหน้านี้ สิงคโปร์ได้ออกกฎหมายควบคุมพฤติกรรมที่เอื้อต่อการก่ออาชญากรรมออนไลน์อย่างเข้มงวด เช่น การจำคุกขั้นต่ำ 6 เดือน สำหรับผู้ที่ช่วยโอนเงินให้ขบวนการหลอกลวง การห้ามลงทะเบียนซิมการ์ดเพื่อขายต่อทำกำไร การห้ามครอบครองซิมการ์ดจำนวนมากโดยไม่มีเหตุผล รวมถึงการห้ามซื้อขายซิมการ์ดในชื่อผู้อื่น โดยผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือทั้งจำทั้งปรับ
ล่าสุด รัฐบาลสิงคโปร์เห็นชอบให้เพิ่ม “โทษเฆี่ยน” สำหรับผู้กระทำผิดฐานหลอกลวงออนไลน์ โดยอ้างอิงแนวคิดว่า “อาชญากรรมออนไลน์ทำลายชีวิตผู้คนได้ไม่ต่างจากยาเสพติด” บทลงโทษใหม่มีรายละเอียดดังนี้
- ผู้ก่ออาชญากรรม ผู้ร่วมขบวนการ หรือผู้ชักชวนให้เข้าร่วมเครือข่าย เฆี่ยน 6–24 ครั้ง
- ผู้ฟอกเงินจากการหลอกลวงออนไลน์ หรือผู้จัดหาอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เฆี่ยน 12 ครั้ง (ตามดุลพินิจศาล)
- ผู้จัดหาซิมการ์ด รหัสผ่าน และบัญชีต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนขบวนการ (จำคุกสูงสุด 3 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ประมาณ 200,000 บาท)
“กฎหมายของสิงคโปร์ระบุให้มี 96 ความผิด ที่ศาลสามารถสั่งเฆี่ยนได้ตามดุลพินิจ และอีก 65 ความผิด ที่ต้องบังคับเฆี่ยน การลงโทษลักษณะนี้จะถูกนำมาใช้เฉพาะกรณีที่มีหลักฐานชัดเจน และเมื่ออาชญากรรมก่อให้เกิดความเสียหายทางการเงินในวงกว้าง มาตรการดังกล่าวสะท้อนถึงความจริงจังของรัฐบาลสิงคโปร์ในการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ที่สร้างผลกระทบต่อชีวิตประชาชนและระบบเศรษฐกิจของประเทศ “ คุณซิม แอนน์กล่าว

เพราะอะไร? “สิงคโปร์” จึงเลือกใช้ “โทษเฆี่ยน”
การเพิ่มโทษ “เฆี่ยน” มีเป้าหมายเพื่อสร้างแรงยับยั้งสูงสุดและส่งสัญญาณชัดเจนไปยังนานาประเทศว่า สิงคโปร์จะไม่ประนีประนอมกับอาชญากรรมหลอกลวงออนไลน์ แม้บทลงโทษทางร่างกายอาจไม่สามารถกำจัดสแกมเมอร์ได้ทั้งหมด แต่รัฐบาลเชื่อว่ามาตรการนี้จะช่วยลดจำนวนคดีได้อย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ รัฐบาลสิงคโปร์ยังเรียกร้องให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Meta (เจ้าของ Facebook) เพิ่มมาตรการป้องกันบัญชีปลอม เพื่อสกัดการหลอกลวงทางออนไลน์ ขณะเดียวกัน สื่อท้องถิ่น The Straits Times ก็ได้เปิดหน้าเว็บไซต์พิเศษชื่อ “Stop Scam” เพื่อเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร และรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชนรู้เท่าทันกลโกงออนไลน์
“มาตรการ “โทษเฆี่ยน” ของสิงคโปร์ ถือเป็นหนึ่งในมาตรการที่สะท้อนถึงท่าทีที่เข้มงวดและจริงจังในการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ พร้อมส่งสารไปยังทั่วโลกว่า “การหลอกลวงออนไลน์ไม่ใช่อาชญากรรมเล็กน้อย” แต่เป็นภัยที่ต้องรับมืออย่างเด็ดขาด” คุณซิม แอนน์กล่าว
ข้อมูลจาก : ทันโลก











