EN

แชร์

Copied!

ตรวจสอบแล้ว: คลิปไวรัล ร.31 รอ. ปะทะช่วง 5 นาทีสุดท้าย ที่แท้คลิปเก่า

3 ส.ค. 6810:00 น.
หมวดหมู่#ข่าวปลอม
ตรวจสอบแล้ว: คลิปไวรัล ร.31 รอ. ปะทะช่วง 5 นาทีสุดท้าย ที่แท้คลิปเก่า

คลิป TikTok อ้างภาพการตอบโต้ของทหาร ร.31 รอ. ในช่วงสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ซึ่งมีผู้เข้าชมกว่า 3.7 ล้านครั้ง รวมถึงสื่อหลักนำไปเผยแพร่จำนวนมาก ล่าสุด Thai PBS Verify ตรวจพบเป็นเพียงคลิปเก่าของภาพการฝึกในช่วงเวลากลางคืน ไม่เกี่ยวข้องเหตุความขัดแย้ง ไทย - กัมพูชา แต่อย่างใด

จากการตรวจสอบเรื่องนี้ Thai PBS Verify พบว่าเป็นข่าวปลอม ที่มีการบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยมีข้อเท็จจริงคือสถานการณ์ไทย-กัมพูชา มาประกอบกับข้อมูลเท็จคือภาพเก่า

Thai PBS Verify พบแหล่งที่มาข่าวปลอมจาก : TiKTok

ภาพบันทึกหน้าจอแสดงคลิปปลอมที่ตรวจสอบพบ

ผู้ใช้บัญชี TikTok รายหนึ่ง โพสต์คลิปพร้อมข้อความระบุว่า “นาที ร.31 ยืนแลก 🪖🇹🇭🫡 #ร31 #รบพิเศษ #ทหาร” โดยภายในคลิปเป็นภาพการใช้อาวุธของทหารในเวลากลางคืน ถูกโพสต์เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 68 ที่ผ่านมา โดยคลิปดังกล่าวมีผู้เข้าชมกว่า 3.7 ล้านครั้ง และแชร์ออกไปกว่า 24,000 ครั้งด้วยกัน

อย่างไรก็ตามเมื่อเรานำคลิปวิดีโอดังกล่าวมาตรวจสอบด้วยการค้นหาคำสำคัญ “ยิงปืนเวลากลางคืน” เพื่อค้นหาว่าคลิปดังกล่าวเคยถูกโพสต์มาก่อนหรือไม่ ทำให้คลิปของผู้ใช้บัญชี TikTok ที่ชื่อ “cetoz282” ได้โพสต์คลิปลักษณะเดียวกัน โดยระบุข้อความว่า “You can hide but you cant run!!🤫🤫 LF22 ฝึกยิงปืนในเวลากลางคืน AN/PVS-14 และ Wilcox Raid X #ไทยนี้รักสงบเเต่ถึงรบไม่ขลาด #ทหารไทย #กัมพูชา #thailand #RTA #specialforces” ซึ่งเมื่อนำคลิปดังกล่าวมาตรวจสอบด้วยเครื่องมือ InVID-WeVerify ในการแยก Keyframe และนำภาพที่ได้ไปตรวจสอบกับคลิปต้องสงสัยพบว่า ภาพในคลิปดังกล่าวมีจุดที่ตรงกัน

คลิปของผู้ใช้บัญชี TikTok ที่ชื่อ “cetoz282” (บน) เปรียบเทียบกับภาพจากคลิปบิดเบือน (ล่าง) เมื่อใช้เครื่องมือ InVID-WeVerify ในการแยก Keyframe

ทั้งนี้ยังพบว่า คลิปดังกล่าวได้ถูกโพสต์ไปตั้งแต่วันที่ 6 มิ.ย. 68 ซึ่งผู้ใช้บัญชีดังกล่าว ได้ระบุในช่องแสดงความคิดเห็นว่า “คลิปนี้ยืนยันว่าเป็นการฝึกของทหารราบนะครับ LF22 Lightning Forge ฝึกใช้อุปกรณ์ยิงประกอบในเวลากลางคืน มิใช่เหตุการณ์ล่าสุด จากวันที่ลงคลิปนี้นานแล้ว วันที่ 6-6 ที่ผ่านมา” เพื่อยืนยันว่า เหตุการณ์ในคลิปดังกล่าว เกิดขึ้นก่อนสถานการณ์ขัดแย้งไทย-กัมพูชา

ภาพบันทึกหน้าจอแสดงวันที่ที่คลิปดังกล่าวถูกโพสต์ ซึ่งพบว่า คลิปได้ถูกโพสต์ไปตั้งแต่วันที่ 6 มิ.ย. 68

คลิปของผู้ใช้บัญชี TikTok ที่ชื่อ “cetoz282” ได้โพสต์คลิปไว้เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 68

อย่างไรก็ตาม เราพบว่าในช่วงวันที่ 29 ก.ค. 68 ที่ผ่านมา มีสื่อหลักหลายสำนักที่นำคลิปดังกล่าวไปรายงานด้วยเช่นเดียวกัน เช่น TOP News Online, ทุบโต๊ะข่าว Amarin TV และข่าวเวิร์คพอยท์ 23

ภาพบันทึกหน้าจอแสดงภาพคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ในสื่อหลัก

สำหรับคลิปเหตุการณ์ดังกล่าว เมื่อตรวจสอบข้อความที่ระบุในคลิปว่า “LF22” พบว่า ตรงกับข่าวของ กรมยุทธการทหารบก ที่ได้รายงานข่าวเมื่อวันที่ 3 พ.ย. 64 โดยเป็นข่าว “ทบ. เข้าร่วมการฝึกผสม กับ ทบ.สหรัฐฯ ภายใต้รหัส “Lightning Forge 22” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 มุ่งพัฒนาขีดความสามารถด้านกําลังรบผสมเหล่า” ซึ่งเป็นการรายงานข่าวของกองทัพบก ที่ได้เข้าร่วมการฝึกผสม กับ กองทัพบกสหรัฐฯ ณ Schofield Barracks พื้นที่ฝึกในรัฐฮาวาย สหรัฐฯ ในห้วง 5 ต.ค. – 2 พ.ย. 64 โดยหน่วยทหารที่กองทัพบกส่งไปฝึกในครั้งนั้นคือ ทภ.3 (โดย พล.ร.4) เป็นหน่วยหลักในการจัดกําลังหมวดปืนเล็กมีอัตรากําลังพล 39 นาย และการฝึกดังกล่าวยังปรากฏในเพจ Smart Soldiers Strong Army  ที่ได้ลงคลิปหมวดปืนเล็กของไทย ในการฝึกใช้กล้อง AN/PVS-14 และเลเซอร์ชี้เป้า Wilcox รุ่น Raid X มาช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติการในเวลากลางคืนอีกด้วย

คลิปการฝึก LF22 จากเพจ Smart Soldiers Strong Army

“สื่อ” อาจหลงประเด็นการนำเสนอที่ถูกต้องในความขัดแย้ง

อ.ดร.บัณฑูร พานแก้ว อาจารย์คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่า การที่สื่อแข่งขันกันด้วยความเร็ว และพยายามเรียกร้องความสนใจจากผู้รับสาร ทำให้การตรวจสอบข้อมูลไม่มากเพียงพอ และเป็นการเลือกเชื่อการแชร์ต่อ ๆ กัน โดยไม่ได้มีการตรวจสอบ แต่กลับไปเลือกเชื่อใจว่า การที่สื่อหนึ่งแห่งเผยแพร่แล้ว จะสามารถเผยแพร่ตามได้โดยไม่ต้องตรวจสอบ จึงทำให้ข้อมูลข่าวสารที่เห็นในปัจจุบัน มีแต่ข่าวปลอมเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคลิปจากยูเครน-รัสเซีย และความขัดแย้งในเมียนมา ก็ถูกนำมาใช้เป็นจำนวนมากด้วยเช่นกัน ซึ่งรวมถึงภาพจากการ Generate ด้วย AI รวมถึงเกมก็ถูกนำมาปะปนอีกด้วย

อ.ดร.บัณฑูร พานแก้ว อาจารย์คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

นอกจากนี้ด้วยความที่ต้องการดึงดูดความสนใจ หรือต้องการเร้าอารมณ์ของผู้ชม ก็ยิ่งทำให้สื่อทำงานเร็วเกินไป จนเกิดคำว่ามักง่าย รวมถึงกับการเชื่อใจสื่อด้วยกันเอง ว่าการถูกแชร์ออกไปเป็นจำนวนมากจะกลายเป็นเรื่องจริง

ดังนั้นการเผยแพร่ข่าวปลอมในลักษณะนี้ ส่งผลกระทบกับสังคม เพราะไม่ทำให้สังคมได้เรียนรู้ถึงเนื้อหาที่แท้จริง ว่าควรจะต้องให้ความสนใจกับเรื่องอะไรเป็นหลัก แต่กลับมาให้ความสำคัญกับประเด็นการสู้รบเพื่อความบันเทิง และยังให้ความสนใจกับ Fake News บางอย่าง ที่เป็นเรื่องส่วนตัวของผู้นำฝ่ายตรงข้าม ซึ่งแท้จริงจะเป็นอย่างไรนั้น ก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่ใช่แก่นสาระสำคัญของประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ควรจะต้องโฟกัสในเรื่องนั้น ๆ ก่อน และกลายเป็นเหมือนความบันเทิง ความสะใจ การเร้าอารมณ์ เพื่อที่จะทำให้คนอยู่กับเนื้อหาเหล่านี้เยอะ ๆ เพียงเท่านั้น โดยสิ่งที่ควรจะต้องตรวจสอบ หรือวิพากษ์วิจารณ์ เช่น การทำงานของผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างแท้จริง ก็กลับไม่ได้มีการนำเสนอ แต่ไปให้ความสำคัญกับรายละเอียดปลีกย่อย ซึ่งจริงหรือเท็จก็ไม่อาจทราบได้

หากปล่อยให้มีการนำเสนอข่าวในลักษณะนี้ต่อไป สิ่งที่จะส่งผลอย่างแน่นอนที่สุด คือความรู้สึกของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ ที่จะต้องมีระดับที่ลดลงจากการปลุกกระแสชาตินิยม โดยไม่มีวิจารณญาณ ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบต่อผู้ที่อยู่ในบริเวณแนวชายแดนแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อมิติด้านเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย

กระบวนการตรวจสอบ

  • ตรวจสอบด้วยการใช้คำสำคัญ เมื่อใช้คำสำคัญว่า “ยิงเวลากลางคืน” ทำให้พบคลิปวิดีโอดังกล่าว และเมื่อตรวจสอบก็พบว่า คลิปถูกโพสต์ครั้งแรกโดยผู้ใช้ TikTok ชื่อ “cetoz282” เมื่อ 6 มิ.ย. 68 โดยเป็นวิดีโอฝึกซ้อมของทหารไทยในโครงการ Lightning Forge 22 (LF22) ซึ่งเป็นการฝึกร่วมกับกองทัพบกสหรัฐฯ ที่รัฐฮาวาย ตั้งแต่ปี 2564

  • การวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือ InVID-WeVerify เปรียบเทียบคลิปทั้งสองด้วย Keyframe ที่ได้จากเครื่องมือ ซึ่งทำให้พบว่า คลิปทั้งสองมีภาพตรงกันชัดเจน เป็นการนำคลิปเก่ากลับมาใช้ใหม่โดยไม่มีบริบทที่ถูกต้อง

ผลกระทบจากการเผยแพร่ข้อมูลเท็จเหล่านี้

  • ทำให้ผู้ชมเข้าใจผิด คลิปที่นำกลับมาโพสต์เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 68 มีการตัดต่อและเปลี่ยนข้อความใหม่ เช่น “นาที ร.31 ยืนแรก” ทำให้ผู้ชมเข้าใจผิดว่าเป็นเหตุการณ์จริงในปัจจุบัน และเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดน
  • สื่อมวลชนถูกลดบทบาทความน่าเชื่อถือ การที่สื่อบางรายนำคลิปมาเผยแพร่โดยไม่ตรวจสอบต้นทาง สะท้อนถึงปัญหาการทำข่าวแบบ “แชร์ต่อกันไป” โดยขาดกระบวนการยืนยันข้อเท็จจริง ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดและเกิดความสับสน

ภาพบันทึกหน้าจอแสดงข้อความของผู้เข้าชมที่คิดว่าคลิปดังกล่าวเป็นเหตุการณ์จริง

ข้อแนะนำเมื่อได้ข้อมูลเท็จนี้ ?

  • อย่าแชร์ทันที ให้ตั้งคำถามก่อนเสมอว่าคลิปหรือข้อมูลนั้นมีที่มาที่ไปชัดเจนหรือไม่
  • ตรวจสอบภาพ-คลิปว่าเคยถูกเผยแพร่ที่อื่นหรือไม่ หากข้อความในคลิปเร้าอารมณ์หรือไม่ระบุแหล่งที่มา รวมถึงไม่มีหลักฐานประกอบ ควรตรวจสอบต่อทันที
  • ใช้เครื่องมือช่วยตรวจสอบ เช่น InVID-WeVerify หรือ Google Reverse Image Search เพื่อตรวจสอบว่าเคยเผยแพร่เมื่อใด ที่ใด
  • เทียบกับแหล่งข่าวน่าเชื่อถือ เช่น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับข่าวนั้น หรือองค์กรสื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อดูว่ามีข้อมูลสนับสนุนหรือไม่