EN

แชร์

Copied!

ตรวจสอบแล้ว: “KHMER TIME” อ้างไทยทิ้งบอมบ์หมู่บ้านกัมพูชา ศบ.ทก. โต้ “ระเบิดเก่า” ยันไม่ใช่ฝีมือเครื่องบินไทย

31 ก.ค. 6817:50 น.
หมวดหมู่#ข่าวปลอม
ตรวจสอบแล้ว: “KHMER TIME” อ้างไทยทิ้งบอมบ์หมู่บ้านกัมพูชา  ศบ.ทก. โต้ “ระเบิดเก่า” ยันไม่ใช่ฝีมือเครื่องบินไทย

พบเว็บไซต์ KHMER TIME อ้างกองทัพไทยทิ้งบอมบ์! หมู่บ้านกัมพูชา ศบ.ทก.โต้เป็น ระเบิดเก่า ไม่ใช่จากเครื่องบินไทย

Thai PBS Verify พบว่าเป็นข่าวปลอม ที่โจมตีอย่างตั้งใจ โดยมีข้อเท็จจริง คือ เหตุการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย – กัมพูชา ซึ่งไทยได้มีการส่งเครื่องบิน F-16 และกรินเพน ขึ้นบินเพื่อหยุดการปะทะ แต่ข้อมูลเท็จ คือ ระเบิดที่มีการโพสต์ดังกล่าว เป็นระเบิดเก่าและไม่ใช่ของประเทศไทย 

Thai PBS Verify พบแหล่งที่มาข่าวปลอมจาก : Website

ภาพเว็บไซต์ khmer time นำเสนอข่าวกองทัพไทยทิ้งระเบิดลงหมู่บ้านประชาชนกัมพูชา

เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 68 พบเว็บไซต์สำนักข่าว KHMER TIME โพสต์ข่าว “ CMAC shows 1 tonne bomb, dropped by Thailand on Cambodia “ 

แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “CMAC (ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดกัมพูชา) แสดงหลักฐานระเบิดหนัก 1 ตัน ที่ทิ้งโดยประเทศไทยในกัมพูชา”

ตรวจสอบผ่านเครื่องมือตรวจสอบภาพ

เมื่อทำการตรวจสอบผ่านด้วยเครื่องมือ Google Lens พบว่าภาพข่าวดังกล่าวไปตรงกับ เฟซบุ๊ก HENG Ratana ที่โพสต์ภาพระเบิดพร้อมข้อความว่า 

នៅព្រឹកថ្ងៃទី៣០​ខែកក្កដាឆ្នាំ២០២៥នេះ​ កម្លាំងអង្គភាពសុីម៉ាក់ឆ្លេីយតបសំណេីរបស់ប្រជាពលរដ្ឋ​ដែលរងគ្រោះដោយការទម្លាក់គ្រាប់បែកចំផ្ទះរបស់គាត់។ នេះជាប្រភេទគ្រាប់បែក MK-84​ មានទម្ងន់ជិត១តោន​ (១,០០០គីឡូក្រាម)​ មានប្រវែងសរុបប្រមាណ៣.៥ម៉ែត្រ​ មានជាតិផ្ទុះជាង៥០០គីឡូក្រាម​ ជាគ្រាប់បែកមានទំហំធំជាងបំផុតក្នុងចំណោមប្រភេទគ្រាប់បែកក្នុងក្រុមគ្រាប់បែកMK (MK-81, MK82, MK-83 និងMK-84) ដែលបានទម្លាក់ដោយកងទ័ពអាកាសសៀមកាលពីកន្លងទៅថ្មីនេះ។

សូមបញ្ជាក់ថា​ គ្រាប់បែកប្រភេទMK-84នេះ​ ក៏កម្រប្រេីប្រាស់ទម្លាក់ណាស់​ កាលពីសម័យសង្គ្រាមឥណ្ឌូចិន។”

 

แปลเป็นภาษาไทยว่า “เช้าวันที่ 30 กรกฎาคม 2025 หน่วยงาน CMAC (Cambodian Mine Action Centre) เข้าตอบสนองต่อคำร้องเรียนฉุกเฉินจากชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากเหตุระเบิดในพื้นที่อาศัยของตนเอง

เจ้าหน้าที่พบระเบิดชนิด MK-84 ซึ่งเป็นระเบิดทางอากาศขนาดใหญ่ที่สุดในตระกูล MK (MK-81, MK-82, MK-83 และ MK-84) โดยมีน้ำหนักรวมเกือบ 1,000 กิโลกรัม และมีขนาดยาวประมาณ 3.5 เมตร ภายในบรรจุวัตถุระเบิดกว่า 500 กิโลกรัม

จากการตรวจสอบเบื้องต้น ระบุว่าระเบิดลูกนี้ ตกลงจากกองทัพอากาศของประเทศไทยเมื่อไม่นานมานี้ และถือเป็นอาวุธที่ไม่ค่อยถูกใช้งานนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามอินโดจีน

ในวันนี้ ทีมผู้เชี่ยวชาญของ CMAC ได้เร่งเข้าพื้นที่เพื่อดำเนินการเก็บกู้อย่างปลอดภัย พร้อมย้ำถึงความรุนแรงของ MK-84 ซึ่งหากระเบิดขึ้น จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อชีวิตและทรัพย์สิน” 

ภาพบัญชี HENG Ratana โพสต์ข้อความและภาพเกี่ยวกับ ชุมชนแจ้งพบระเบิดที่อ้างว่าเป็นของกองทัพไทย

ไทยชี้แจง หลังถูกกล่าวหาใช้ F-16 ทิ้งระเบิดใส่กัมพูชา

หลังโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไป กองบรรณาธิการข่าว Thai PBS ได้ขยายประเด็นนี้เพิ่มเติม และเผยแพร่เป็น รายงาน ข่าว เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 68 โดยมีเนื้อหาว่า ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ได้ชี้แจงกรณีที่สื่อกัมพูชาอย่าง khmer time รายงานข่าวโดยอ้างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงานด้านทุ่นระเบิดกัมพูชาว่า พบวัตถุระเบิดชนิด MK-84 ตกใส่บ้านเรือนประชาชน ซึ่งเป็นผลจากปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของเครื่องบิน F-16 หรือ Gripen ของไทย

ทั้งนี้ ศบ.ทก. ยืนยันว่าปฏิบัติการทางอากาศของไทยนั้นพุ่งเป้าไปที่เป้าหมายทางทหารทั้งหมด และเป็นไปตามหลักการป้องกันตนเองและปกป้องอธิปไตย

นอกจากนี้ระเบิด MK-84 ที่ถูกกล่าวอ้างนั้น อยู่ในสภาพเก่า และมีลักษณะคล้ายถูกขุดขึ้นมาจากใต้ที่พักอาศัยของประชาชน หากดูจากเส้นรอบวงและความยาวของลูกระเบิด มีลักษณะเป็นลูกระเบิดอากาศขนาด 2,000 ปอนด์แบบตะวันตกที่มีใช้ทั่วไป อีกจุดสังเกตหนึ่งคือ มีสภาพที่วางขนานกับพื้น ไม่เหมือนทิ้งจากเครื่องบิน

ทั้งหมดเป็นข้อมูลบ่งชี้ว่า เป็นไปไม่ได้ที่ลูกระเบิดนี้จะเกิดจากการปฏิบัติการทางอากาศของไทยในช่วงเวลานี้

กระบวนการตรวจสอบ

  1. ตรวจสอบผ่านเครื่องมือตรวจสอบภาพ : ใช้เครื่องมือ Google lens พบว่าภาพไปตรงกับ เฟซบุ๊ก HENG Ratana โพสต์ข้อมูลตรวจสอบระเบิดอ้างว่าเป็นระเบิดที่ไทยโจมตีกัมพูชา
  2. ตรวจสอบแหล่งข่าวอ้างอิง : ศก.ทบ. รายงานว่า ระเบิด MK-84 ที่กล่าวอ้างในโพสต์ อยู่ในสภาพเก่า และมีลักษณะคล้ายถูกขุดขึ้นมาจากใต้ที่พักอาศัยของประชาชน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ที่จะเกิดจากการปฏิบัติการทางอากาศของไทยในช่วงเวลานี้

ผลกระทบข้อมูลนี้

  1. สร้างความสับสนและบิดเบือนข้อเท็จจริง
  • ประชาชนอาจสับสนว่าข้อมูลใดเป็นจริง โดยเฉพาะเมื่อมีรายงานจากทั้งสองฝ่ายที่ขัดแย้งกันโดยตรง

2. ทำลายความน่าเชื่อถือและสร้างความตึงเครียด

  • สร้างความตึงเครียดระหว่างประเทศ: ข้อมูลเท็จดังกล่าว อาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางการทูต หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้
  • กระทบความสัมพันธ์ประชาชน: ประชาชนของทั้งสองประเทศอาจเกิดความไม่เข้าใจหรือความรู้สึกเชิงลบต่อกัน จากการรับข้อมูลที่บิดเบือน

3. เป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อ

  • สร้างความได้เปรียบทางข้อมูล: การที่ฝ่ายหนึ่งเผยแพร่ข้อมูลที่ขัดแย้ง อาจมีเจตนาเพื่อโฆษณาชวนเชื่อ หรือสร้างภาพลักษณ์ว่าตนเองเป็นฝ่ายที่ถูกต้องหรือควบคุมสถานการณ์ได้

  • บั่นทอนขวัญกำลังใจ: หากข้อมูลเท็จถูกเชื่อในวงกว้าง อาจบั่นทอนขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ หรือทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นต่อการทำงานของรัฐบาลและกองทัพ

ข้อแนะนำเมื่อได้ข้อมูลเท็จนี้ ?

  1. ตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูล : ลองค้นหาข้อมูลเดียวกันจากสำนักข่าวอื่น ๆ หรือแหล่งข้อมูลมากกว่า 1 แหล่ง และข้อมูลต้องมีความสอดคล้องกัน  หากข้อมูลนั้นเป็นเรื่องจริง สำนักข่าวอื่นก็มักจะนำเสนอข่าวนี้เช่นกัน
  2. ตรวจสอบความสมเหตุสมผลของเนื้อหา : ลองพิจารณาว่าเนื้อหาข่าวมีความสมเหตุสมผลหรือไม่ ข่าวปลอมมักจะใช้ภาษาที่กระตุ้นอารมณ์ มีถ้อยคำที่รุนแรง หรือมีข้อมูลที่ฟังดูเหลือเชื่อจนเกินไป หากเนื้อหามีข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์หรือการสะกดคำจำนวนมาก ก็อาจเป็นสัญญาณของข่าวปลอมได้เช่นกัน
  3. ใช้เครื่องมือตรวจสอบภาพและวิดีโอ : หากข่าวมาพร้อมกับภาพหรือวิดีโอ ให้ลองใช้เครื่องมือค้นหาย้อนกลับด้วยภาพ เช่น Google Lens เพื่อดูว่าภาพหรือวิดีโอนั้นเคยถูกใช้ในบริบทอื่น ๆ มาก่อนหรือไม่ หรือถูกดัดแปลงมาหรือไม่
  4. ระงับการแชร์ : หากคุณไม่แน่ใจว่าข้อมูลนั้นเป็นความจริงหรือไม่อย่าเพิ่งแชร์ต่อ การแชร์ข่าวปลอมออกไปจะยิ่งทำให้ข้อมูลเท็จแพร่กระจาย และอาจสร้างความเข้าใจผิดหรือความเสียหายได้