Thai PBS Verify พบแหล่งที่มาจาก : Facebook
จากกรณีผู้ใช้บัญชี Facebook รายหนึ่ง ได้ออกมาเล่าถึงประสบการณ์การป่วยเป็นโรคไตระยะสุดท้าย ในวัย 36 ปี ผ่าน Reels Facebook เธออ้างว่าการรีบหรือเบ่งปัสสาวะแรง ๆ บ่อย ๆ อาจส่งผลให้กล้ามเนื้อหูรูดของกระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติ เกิดความดันภายในกระเพาะปัสสาวะสูง ทำให้ปัสสาวะไหลย้อนกลับขึ้นไปที่ไต ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะไตเสื่อมเรื้อรังและโรคไตระยะสุดท้ายได้ โดยคลิปดังกล่าวปรากฏยอดชมกว่า 3 ล้านครั้ง
โดยระบุข้อความใต้คลิปว่า
ใครไม่อยากฟอกไตตลอดชีวิต วันนี้มีประสบการณ์มาแชร์ให้ฟังค่ะ เกี่ยวกับการฉี่ แค่ปัสสาวะเท่านั้นที่ทำให้หนูเป็นโรคไตระยะสุดท้าย ลองฟังดูแล้วลองปรับการฉี่ของทุกคนดูนะคะไม่งั้นอาจจะเป็นโรคไตระยะสุดท้ายเหมือนหนูได้ #โรคไต #ระยะสุดท้าย #ครอบครัว #เทรนวันนี้ #กระแสมาแรง
การเบ่งปัสสาวะแรง ๆ ทำให้เป็นโรคไตได้จริงหรือ ?
เมื่อได้ฟังประสบการณ์จากตัวแทนผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้ายที่ออกมาแชร์เรื่องราวดังกล่าว อาจทำให้หลายคนอาจรู้สึกกังวลว่า การเบ่งปัสสาวะแรง ๆ อาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคไต และลุกลามจนต้องเข้ารับการฟอกไตตามที่กล่าวอ้างหรือไม่
Thai PBS Verify ได้ไขคำตอบในประเด็นนี้จาก รศ. นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวศศิริ อาจารย์ประจำหน่วยโรคไต ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลว่า
ข้อเท็จจริง คือ
- โดยทั่วไปแล้ว การเบ่งปัสสาวะแรง ๆ ในคนปกติที่ไม่มีโรคทางเดินปัสสาวะหรือไต ไม่ได้เป็นอันตรายหรือก่อให้เกิดโรคไตแต่อย่างใด
- อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยมีปัญหาเดิมอยู่แล้ว เช่น ลิ้นกั้นระหว่างกระเพาะปัสสาวะกับท่อไตทำงานผิดปกติ การเบ่งปัสสาวะแรง ๆ ในกลุ่มนี้ อาจกระตุ้นให้เกิดแรงดันสูงในกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งนำไปสู่ ปัสสาวะไหลย้อนกลับไปที่ไตได้ หากเกิดซ้ำบ่อย ๆ อาจทำให้ไตหรือเกิดการอักเสบ และนำไปสู่ภาวะไตเสื่อมหรือไตวาย ได้ในระยะยาวได้
- การเบ่งปัสสาวะแรง ๆ ไม่ใช่สาเหตุโดยตรงของไตวาย แต่เป็น ปัจจัยเสริม โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาเดิมอยู่แล้ว

รศ. นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวศศิริ อาจารย์ประจำหน่วยโรคไต ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
รศ. นพ.สุรศักดิ์ ขยายภาพการทำงานของระบบทางเดินปัสสาวะว่า โดยปกติแล้ว ร่างกายจะมี ‘ลิ้นกั้น’ ระหว่างท่อไตและกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งโดยธรรมชาติมันจะกั้นแบบสมบูรณ์ เพื่อป้องกันไม่ให้ปัสสาวะไหลย้อนกลับขึ้นไปยังไต แต่ในบางคนอาจมีความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด เช่น ลิ้นกั้นปิดไม่สนิท หรือทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้เมื่อมีแรงดันสูงในกระเพาะปัสสาวะ เช่น ขณะเบ่งปัสสาวะแรง ๆ ปัสสาวะอาจไหลย้อนกลับขึ้นไปที่ไตได้ ซึ่งแรงดันจากการไหลย้อนนี้ จะทำให้ไตต้องทำงานหนักมากขึ้น และหากเกิดขึ้นซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน อาจนำไปสู่ภาวะไตเสื่อมในที่สุด
“ไตเปรียบเสมือนปั๊มน้ำ ทำหน้าที่กรองของเสียและขับปัสสาวะออกทางท่อไต แต่หากท่อไตเกิดการอุดตัน หรือมีปัญหาการไหลย้อนกลับของปัสสาวะ จะทำให้ของเหลวคั่งอยู่ภายใน ระบบจึงเกิดแรงดันสูง ส่งผลให้ไตทำงานหนักขึ้น และเมื่อเป็นเช่นนี้ซ้ำ ๆ จะทำให้ไตค่อย ๆ เสื่อมลง”
“ในคนปกติ ลิ้นกั้นระหว่างท่อไตกับกระเพาะปัสสาวะจะทำงานได้ดี ป้องกันไม่ให้ปัสสาวะไหลย้อนกลับ จึงไม่มีแรงดันสะสมในทางเดินปัสสาวะส่วนบน แต่ในบางคนที่ลิ้นกั้นนี้ทำงานผิดปกติ หรืออยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม หากมีการเบ่งปัสสาวะแรง ๆ บ่อยครั้ง อาจทำให้ปัสสาวะไหลย้อนกลับขึ้นไปที่ไต และกระตุ้นให้เกิดภาวะไตเสื่อมหรือโรคไตกำเริบได้”
แพทย์ชี้ว่า ผู้ที่ออกมาเล่าประสบการณ์ดังกล่าว น่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับลิ้นกั้นหรือโครงสร้างของทางเดินปัสสาวะอยู่ก่อนแล้ว การเบ่งแรง ๆ จึงเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้ภาวะของโรครุนแรงขึ้น
ทั้งนี้แพทย์ยังกล่าวว่า อีกกรณีที่พบได้คือ การอุดตันของท่อปัสสาวะ ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย โดยเฉพาะในผู้ชายสูงอายุ ซึ่งมักเกิดจากภาวะต่อมลูกหมากโต ที่กดเบียดและอุดกั้นท่อปัสสาวะ ส่งผลให้ปัสสาวะไม่สามารถระบายออกได้ตามปกติ
“เมื่อมีการอุดตัน ปัสสาวะจะคั่งอยู่ภายในระบบทางเดินปัสสาวะ ทำให้เกิดแรงดันสูง และหากไม่ได้รับการรักษา แรงดันนี้อาจส่งผลให้ไตเสื่อมลงตามลำดับ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มีภาวะนี้เรื้อรัง”
“สาเหตุของการอุดตันที่พบบ่อย ได้แก่ นิ่วในทางเดินปัสสาวะ ต่อมลูกหมากโต หรือที่กดเบียดท่อปัสสาวะด้านล่าง ซึ่งล้วนแล้วแต่สามารถทำให้ปัสสาวะไหลย้อนกลับขึ้นไปยังไตได้”
โดยทั่วไป ในคนที่ไม่มีความผิดปกติของทางเดินปัสสาวะ การเบ่งปัสสาวะแรง ๆ มักไม่ก่อให้เกิดปัญหาใด ๆ เว้นแต่จะมีการอุดตันบริเวณปลายทางของท่อปัสสาวะ ซึ่งทำให้ปัสสาวะไม่สามารถระบายออกได้ตามปกติ แรงดันที่เกิดจากการเบ่งจึงไม่สามารถผลักปัสสาวะออกไปภายนอกได้ และอาจย้อนกลับขึ้นไปทางท่อไตจนถึงไตได้
สรุปคือ การที่ปัสสาวะไหลย้อนกลับขึ้นไปยังไต มักไม่ก่อให้เกิดภาวะไตเสื่อมทันที แต่ต้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปีจึงจะส่งผลเสียรุนแรงต่อไต
“ก่อนจะเกิดโรคไต ต้องมีการติดเชื้อซ้ำ ๆ บ่อย ๆ แต่อาการที่มักแสดงออกก่อนจะรุนแรงถึงขั้นนั้น คือ การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากแบคทีเรียที่ปะปนอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ แม้จะมีปริมาณไม่มาก แต่หากปัสสาวะไม่ถูกขับออกอย่างสมบูรณ์ เช่น จากการอุดตันของท่อปัสสาวะ หรือมีภาวะปัสสาวะไหลย้อนกลับ แบคทีเรียเหล่านั้นก็จะคั่งค้างอยู่ และสามารถแพร่กระจายย้อนขึ้นไปจนถึงไต ทำให้เกิดภาวะ ไตอักเสบจากการติดเชื้อ”
ผู้ป่วยมักจะมีอาการ เช่น ปัสสาวะขุ่น รู้สึกเจ็บขัด แสบ บางรายอาจมีไข้สูง ปวดบริเวณบั้นเอว (ตำแหน่งของไต) หากเกิดการอักเสบซ้ำ ๆ บ่อยครั้ง เช่น ปีละ 3-4 ครั้ง อาจนำไปสู่การเกิดแผลเป็นที่ไต จนส่งผลให้ไตเสื่อม และเสี่ยงต่อภาวะไตวายในอนาคต
ดังนั้น การเบ่งปัสสาวะแรง ๆ จึงไม่ใช่สาเหตุโดยตรงของไตวาย แต่เป็น ปัจจัยเสริม โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาเดิมอยู่แล้ว เช่น ท่อปัสสาวะตีบ ต่อมลูกหมากโตหรือภาวะปัสสาวะค้าง ซึ่งทำให้การไหลย้อนกลับเกิดขึ้นได้ง่ายโดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เมื่อกระเพาะปัสสาวะเริ่มเสื่อมสภาพ การเบ่งปัสสาวะแรง ๆ จะเพิ่มแรงดันในกระเพาะปัสสาวะ จนอาจทำให้ผนังโป่งพอง เกิดเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค และเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อซ้ำซาก
แนะวิธีปัสสาวะที่ถูกต้อง
- เมื่อรู้สึกปวดปัสสาวะ ควรรีบเข้าห้องน้ำทันที อย่ากลั้นปัสสาวะ
- ขณะปัสสาวะ ไม่ควรเบ่งแรง ให้เบ่งและปล่อยตามธรรมชาติ หากจำเป็น อาจเบ่งเล็กน้อยในช่วงเริ่มต้น แล้วกระเพาะปัสสาวะจะบีบตัวเองตามกลไกตามธรรมชาติ
หากต้องเบ่งแรงเป็นประจำ หรือปัสสาวะออกลำบาก นั่นอาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติ เช่น
- ต่อมลูกหมากโต (ในผู้ชาย)
- นิ่วในทางเดินปัสสาวะ
- ท่อปัสสาวะตีบจากการติดเชื้อซ้ำ ๆ
ในกรณีเหล่านี้ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโดยเร็ว เพราะหากปล่อยไว้ อาจทำให้ปัสสาวะไหลย้อนกลับไปยังไต และนำไปสู่ภาวะไตอักเสบ ไตเสื่อม หรือไตวายได้ในระยะยาว
การดื่มน้ำที่เพียงพอ สำคัญอย่างไร?
- การดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอ ช่วยให้ไตทำงานได้ดี และช่วยให้ของเสียในร่างกายถูกขับออกทางปัสสาวะได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- หากดื่มน้ำน้อย ปัสสาวะจะออกน้อยลง เกิดการคั่งค้างในกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งเป็นทำให้เกิดการสะสมของแบคทีเรีย เมื่อแบคทีเรียเพิ่มจำนวน อาจก่อให้เกิด การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ และหากเกิดซ้ำบ่อย ๆ มีโอกาสลุกลามถึงไต และทำให้เกิดโรคไตในอนาคตได้