Loading...

แชร์

Copied!

แชร์คำพูด “พิธา” ตัดงบ ขรก. บำนาญที่แท้ข่าวบิดเบือนเก่าปี 65

22 ต.ค. 6822:00 น.
การเมือง#ข่าวปลอม
แชร์คำพูด “พิธา” ตัดงบ ขรก. บำนาญที่แท้ข่าวบิดเบือนเก่าปี 65

พบโพสต์แชร์คำพูด “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ตัดงบข้าราชการบำนาญ ที่แท้ข่าวเก่าปี 65 ที่ถูกบิดเบือน ด้านนักวิชาการเตือนข่าวเก่าปั่นใหม่ จุดอารมณ์-บั่นทอนความน่าเชื่อถือทางการเมือง

Thai PBS Verify พบแหล่งที่มาจาก : Tiktok

 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์

ภาพบันทึกหน้าจอแสดงผู้ใช้บัญชี Tiktok แชร์โพสต์ภาพที่มี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พร้อมข้อความ #คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 60

Thai PBS Verify พบผู้ใช้บัญชี Tiktok มีการแชร์ภาพ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์  เขียนบรรยายว่าบำนาญผมตัดออกแน่ เพราะไม่ได้หางานให้หลวง พิธา ยืนยัน ถ้าไม่ตัด ก็จะขอลดเงินบำนาญลงหน่อย เพราะมันคืองบช้างป่วย ไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน นอกจากนี้ยังมีการเขียนข้อความระบุว่า “ช่วยกันแชร์ภาพนี้ ให้เหล่าข้าราชการบำนาญนะคะ เดี๋ยวจะได้เห็นพลังของคนวัยเกษียณค่า” พร้อมทั้งแฮชแท็ก #คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี60 #รัฐธรรมนูญปราบโกง #รัฐธรรมนูญ60

โพสต์ดังกล่าวเป็นภาพนิ่งพร้อมใส่เพลงประกอบเป็นคลิปวิดีโอ ถูกเผยแพร่เมื่อวันที่ 18  ต.ค. 68 ที่ผ่านมา มียอดเข้าชม 569,500 ครั้ง การแสดงความรู้สึก 5,732 ครั้ง และการแสดงความคิดเห็น 1,624 ครั้ง ซึ่งความคิดเห็นส่วนใหญ่เชื่อว่า ข้อความที่เขียนในคลิปเป็นความจริง ขณะเดียวกันยังพบว่า คลิปดังกล่าวถูกแชร์ไปยัง Threads ด้วยเช่นกัน  

เมื่อ Thai PBS Verify ทำการตรวจสอบบัญชีที่โพสต์ พบว่า ใช้ชื่อบัญชี tata8.1 มีผู้ติดตาม 9,478 คน ส่วนใหญ่เนื้อหาในช่องเป็นการใช้ภาพนักการเมืองและโค้ดคำพูดนักการเมืองจากพรรคการเมืองต่าง ๆ 

ภาพรูปโปรไฟล์บัญชี Tiktok ชื่อบัญชี tata8.1

ภาพรูปโปรไฟล์บัญชี Tiktok ชื่อบัญชี tata8.1

ย้อน 5 เหตุการณ์ข่าว ‘งบช้างป่วย’ พิธาไม่เคยเสนอตัดงบบำนาญ ฯ

เมื่อทำการค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดคำว่า “งบช้างป่วย” พบว่า ประเด็นเรื่อง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ปฏิเสธข่าวนโยบายลดบำนาญข้าราชการ พบมีการเคลื่อนไหวอยู่ 5 ช่วง ได้แก่

  1. วันที่ 31 พ.ค. 65 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2566 โดยกล่าวถึงงบประมาณสำหรับบุคลากรและเบี้ยหวัดบำนาญที่เพิ่มสูงขึ้นมาก และเปรียบงบประมาณดังกล่าวว่าเป็น “งบช้างอุ้ยอ้าย/ช้างป่วย
  2. วันที่ 7 มิ.ย. 65 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์  ยืนยันอย่างเป็นทางการผ่านการตอบจดหมายถึงตัวแทนข้าราชการบำนาญ โดยระบุชัดเจนว่า “ไม่ตัด ไม่ลด เงินบำนาญ” และชี้แจงว่า “งบช้างป่วย” หมายถึงวิธีการจัดการงบประมาณของรัฐบาล ไม่ใช่ตัวข้าราชการบำนาญ เพื่อชี้แจงการเผยแพร่ข่าวลือหรือข่าวปลอม โดยเฉพาะในกลุ่มข้าราชการบำนาญ
  3. วันที่ 14 ก.ย. 65 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แถลงข่าวร่วมกับเครือข่ายข้าราชการบำนาญ ย้ำอีกครั้งว่าไม่เคยเสนอตัดสวัสดิการหรือบำนาญ
  4. วันที่ 30 ม.ค. 66 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ยืนยัน ผ่านการโพสต์และแถลงข่าว หลังมีข่าวปลอมเรื่องลดบำนาญ(คลิกเพื่อดู เนื้อหาต้นฉบับที่บันทึกไว้)วนกลับมาอีกครั้ง เพราะใกล้เข้าสู่ช่วงเลือกตั้งใหญ่ ปี 66 ข่าวปลอมดังกล่าวถูกนำมาเผยแพร่อย่างหนักเพื่อโจมตีทางการเมือง
  5. วันที่ 3 เม.ย. 68 เพจเฟซบุ๊ก Pita Limjaroenrat – พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ชี้แจงกรณีตัดงบข้าราชการบำนาญว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ชี้แจงว่าพรรคก้าวไกลไม่เคยเสนอตัดงบบำนาญข้าราชการ แต่ต้องการ “ล้างบางงบช้างป่วย” หรือระบบงบประมาณที่ล้าหลัง เพื่อปรับโครงสร้างให้เงินภาษีถูกใช้สร้างสวัสดิการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ

พิธา

ภาพเฟซบุ๊ก Pita Limjaroenrat – พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ชี้แจงกรณีตัดงบข้าราชการบำนาญ

เปิดคำอภิปราย “พิธา” งบปี 66 สะท้อนภาระงบเก่ากินพื้นที่งบใหม่ ไม่ได้เสนอให้ตัดงบบำนาญ

ต่อมาเมื่อไปตรวจสอบการอภิปรายพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2566 ของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ในขณะนั้นดำรงหัวหน้าพรรคก้าวไกล (คลิกเพื่อดู เนื้อหาต้นฉบับที่บันทึกไว้) ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 65  มีเนื้อหากล่าวถึงโครงสร้างงบประมาณของประเทศไม่ตอบโจทย์การฟื้นฟูหลังวิกฤต รายได้ของรัฐผันผวน เก็บภาษีได้น้อยกว่าคาด และพึ่งพาเศรษฐกิจแบบเดิม ส่วนรายจ่ายส่วนใหญ่เป็นงบประจำ คิดเป็นกว่า 75% ของงบทั้งหมด โดย 70% ของงบประมาณถูกใช้ไปกับภาระในอดีต พร้อมเสนอแนะแนวทางในการจัดการงบประมาณและการหารายได้เพิ่มเติมเพื่อให้ครอบคลุมรายจ่าย

ยูทูบ Thai PBS รายงาน

ยูทูบ Thai PBS รายงาน “พิธา” จวกโครงสร้างงบฯ ช้างอุ้ยอ้าย ปรับตัวไม่ได้ เสียไปกับรายจ่ายประจำ – นโยบายในอดีต (31 พ.ค. 65)

สำหรับประเด็นเงินบำนาญข้าราชการจากคลิปวิดิโอดังกล่าวไม่ได้พูดหรือกล่าวเสนอดำเนินการตัดงบข้าราชการบำนาญแต่อย่างใดเป็นเพียงการเสนอและสะท้อนให้รัฐบาลเห็นว่าจะมีการจัดการบริหารอย่างไรงบประมาณอย่างไรให้สามารถจัดการภาระในอดีต และโครงการพัฒนาในอนาคต  

เอกสารงบฯ ปี 66 ชี้รายจ่ายประเทศพุ่ง 30% “งบประจำ” ยังครองสัดส่วนสูงถึง 75%

ขณะเดียวกัน Thai PBS Verify เอกสารที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นำมาอภิปรายในรัฐสภาพบว่า เป็นเอกสาร วิเคราะห์ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ของสำนักงบประมาณของรัฐสภา รายงานแนวโน้มของวงเงินงบประมาณรายจ่ายระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 – 2566 พบว่า รายจ่ายของประเทศเพิ่มขึ้น 30% โดยโครงสร้างงบยังคงเดิม คือ งบรายจ่ายประจำสูงถึง 75% ของงบทั้งหมด ส่วน งบลงทุนอยู่ที่ 20%

รายงานแนวโน้มของวงเงินงบประมาณรายจ่ายระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 - 2566 ของสำนักงบประมาณของรัฐสภา

รายงานแนวโน้มของวงเงินงบประมาณรายจ่ายระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 – 2566 ของสำนักงบประมาณของรัฐสภา

***งบช้างป่วย เป็นวลีที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ใช้ในการอภิปรายเพื่อเปรียบเทียบและวิจารณ์ โครงสร้างและวิธีการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2566 ของรัฐบาลในขณะนั้น***

เตือนข่าวเก่าปั่นใหม่ ปลุกอารมณ์-ลดทอนความน่าเชื่อถือฝ่ายตรงข้าม

ผศ. ดร.จันจิรา สมบัติพูนศิริ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ German Institute for Global and Area Studies และนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า ข่าวที่ถูกนำกลับมาแชร์ใหม่แบบนี้ ถ้ามองในเชิงการเมือง มันเป็นเหมือน “เศรษฐศาสตร์ของการเรียกร้องความสนใจ” ของผู้ที่ทำแคมเปญในโซเชียลมีเดีย หมายความว่า ส่วนใหญ่คนที่เห็นข่าวพาดหัวแบบนี้ โดยไม่ได้ตรวจสอบวันเผยแพร่ ก็มักจะเกิดอารมณ์ร่วม เช่น โกรธ ไม่พอใจ หรือกล่าวหาโดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน ซึ่งสิ่งนี้เป็นเพียง “การกระตุกอารมณ์ของคน” ผ่านการพาดหัวข่าว หรือการนำข่าวเก่ามาปั่นใหม่ให้ดูเหมือนข่าวปัจจุบัน เพื่อให้กลับมาอยู่ในกระแสอีกครั้งในสื่อโซเชียลที่ผู้คนใช้งานอยู่ประจำ

“บางครั้งอาจารย์ก็เห็นว่า มันปรากฏในช่องทางส่วนตัว เพราะไม่มีพื้นที่ให้คนอื่นเข้ามาแย้งหรือแสดงความคิดเห็นได้เหมือนในเฟซบุ๊กหรือใน X ที่สามารถเขียนคอมเมนต์บอกได้ว่า ข่าวนั้นเป็น “ข่าวเก่า” หรือ “ไม่จริง” ผศ. ดร.จันจิรา กล่าว

พอข่าวแบบนี้ถูกส่งต่อ คนที่เห็นภาพหรือพาดหัวข่าวก็อาจเกิดอารมณ์ขึ้นทันที แล้วแชร์ต่อโดยไม่ได้ตรวจสอบ ทำให้เป้าหมายของผู้ที่เผยแพร่ข่าวลักษณะนี้บรรลุผล คือ “การลดทอนความน่าเชื่อถือ” ของคนที่ถูกพาดพิงนั่นเอง

ผศ. ดร.จันจิรา สมบัติพูนศิริ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ German Institute for Global and Area Studies และนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์

ผศ. ดร.จันจิรา สมบัติพูนศิริ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ German Institute for Global and Area Studies และนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์

ส่วนรูปแบบการแชร์ข่าวลักษณะนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการแชร์ข่าวปลอมหรือข่าวเก่าด้วยความไม่รู้ของผู้แชร์เท่านั้น แต่เป็น “กระบวนการ” ที่เกิดขึ้นมานานแล้ว และมีการพัฒนา “แพตเทิร์นของการปั่นข้อมูลข่าวสาร” มาอย่างต่อเนื่อง

“เราเคยเห็นมาตั้งแต่เหตุการณ์กราดยิงที่โคราช หลังจากนั้นก็มีรายงานในช่วงการเลือกตั้ง และในช่วงการชุมนุมปี 2563 ด้วย ในรัฐสภาเองก็เคยมีการอภิปรายเรื่องนี้หลายครั้ง โดยเฉพาะในประเด็น “ปฏิบัติการ IO” หรือ Information Operation ที่ใช้ในการปั่นกระแสข่าว” ผศ. ดร.จันจิรา กล่าว

เพราะฉะนั้น รูปแบบเหล่านี้ถือเป็น “แพตเทิร์น” ที่เห็นซ้ำ ๆ และมักมีเป้าหมายทางการเมือง คือการลดทอนความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้าม หรือเพื่อเตรียมสนามการเลือกตั้งล่วงหน้า

ในกรณีของประเทศไทย แคมเปญ IO เหล่านี้มีลักษณะคล้ายกับที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ มีวัตถุประสงค์หลักอยู่ 2–3 ประเด็น เช่น

  1. หากเกิดขึ้นในช่วงชุมนุม ก็จะมุ่งลดความน่าเชื่อถือของผู้ชุมนุม
  2. หากเกิดในช่วงเลือกตั้ง ก็จะใช้ลดความน่าเชื่อถือของฝ่ายการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ฝ่ายที่ต้องการสนับสนุน
  3. หากเกิดในช่วงที่มีการอภิปรายหรือการตัดสินของศาล ก็มีผลต่อการรับรู้ของสาธารณะ และต่อการสนับสนุนบุคคลหรือพรรคการเมืองนั้น ๆ

สำหรับครั้งนี้น่าสนใจ เพราะ “กระแสชาตินิยม” กำลังมาแรง ซึ่งแตกต่างจากการเลือกตั้งครั้งก่อน ที่เป็นช่วงหลังการชุมนุมและกระแสสังคมตอนนั้นเป็น “กระแสรักประชาธิปไตย”

ในครั้งนั้น พรรคก้าวไกลหรือพรรคประชาชนในสมัยนั้นก็ถูกกล่าวหาและเผชิญกับข้อหาต่าง ๆ มากมาย แต่ด้วยบริบททางสังคมที่เอื้อต่อประชาธิปไตย จึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก

แต่ในตอนนี้ สถานการณ์ต่างออกไป เพราะมีกระแสความขัดแย้งชายแดน ทำให้กระแสชาตินิยมเพิ่มขึ้น เมื่อผู้คนมีอารมณ์ร่วมแบบนี้ หลายคนอาจ “ลืมหยุดคิด” ว่าข้อความหรือข่าวที่เห็นนั้น มีเป้าหมายทางการเมืองหรือไม่

ดังนั้น ข่าวหรือโพสต์ที่อ้างอิงบุคคลทางการเมืองในช่วงนี้ มักจะถูกใช้เพื่อ “หวังผลทางการเมือง” ทั้งสิ้น

ขณะที่การรู้เท่าทันสื่อ ผศ.ดร.จันจิรา มองว่า ตอนนี้คนส่วนใหญ่มีอารมณ์ฉุนเฉียวและไม่พอใจในหลายเรื่อง พออ่านข่าวก็จะไม่ค่อยระวัง อารมณ์มักนำหน้าการตรวจสอบ สิ่งสำคัญคือ “ต้องหยุดคิดสักนิด หายใจลึก ๆ ก่อน” จากนั้นดู “การพาดหัวข่าว” ถ้ามีลักษณะกระตุ้นอารมณ์รุนแรง หรือชวนให้มีอคติหรือไม่ และตรวจสอบ “วันที่เผยแพร่ข่าว” เพราะหลายครั้งเป็นข่าวเก่าที่ถูกนำกลับมาปั่นใหม่ ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีช่วยเปลี่ยนหรือปรับเนื้อหาให้ดูใหม่ได้ แต่ยังสามารถตรวจสอบง่าย ๆ ด้วยการเสิร์ชใน Google ดูวันที่และบริบทของข่าวนั้นได้ ใช้เวลาแค่ 1-2 นาที เพียงเท่านี้เราก็จะรู้ว่า ข่าวนั้นตั้งใจ “ปั่นข้อมูล” หรือไม่

เรื่องจริงเป็นอย่างไร 

Thai PBS Verify ตรวจสอบแล้วพบว่า ข่าวเรื่องพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ตัดงบบำนาญข้าราชการ เคยมีการพูดถึง ตั้งแต่ช่วง พ.ค. 65 ในช่วงทื่พรรคก้าวไกลยังเป็นฝ่ายค้านในสมัยรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่เนื่องจากช่วงนี้มีกระแสเตรียมการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ ประเด็นดังกล่าวถูกกลับนำมาพูดอีกครั้งในโซเชียล

กระบวนการตรวจสอบ

  1. ตรวจสอบคำสำคัญ: เมื่อนำคำว่า “งบช้างป่วย” ไปค้นหาพบว่าประเด็นดังกล่าว มีการนำเสนอ ประเด็นเรื่อง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ปฏิเสธข่าวโยบายลดบำนาญข้าราชการ พบมีการเคลื่อนไหวอยู่ 6 ช่วง ตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค. 65 – 3 เม.ย. 68 ซึ่งส่วนใหญ่เกิดในช่วงที่มีกระแสการเลือกตั้ง
  2. ตรวจสอบผ่านนักวิชาการ: นักวิชาการมองว่า เป็นการนำข่าวเก่ามาโพสต์ใหม่ เป็นการลดทอนความน่าเชื่อถือและมักจะเกิดขึ้นช่วงการเลือกต้ั้ง

ผลกระทบเมื่อได้รับข้อมูลเท็จ

  • ความวิตกกังวลและความไม่มั่นคงในชีวิต: ข่าวบิดเบือนนี้สร้างความตื่นตระหนกอย่างรุนแรงในกลุ่มข้าราชการบำนาญและครอบครัว เนื่องจากเงินบำนาญคือ หลักประกันรายได้สุดท้าย ในชีวิตหลังเกษียณ ข้อมูลเท็จนี้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าความมั่นคงในชีวิตถูกคุกคามโดยนโยบายทางการเมือง
  • ความรู้สึกถูกลดทอนคุณค่า: การบิดเบือนคำว่า “งบช้างป่วย” ให้หมายถึงตัวบุคคล (ข้าราชการบำนาญ) ทำให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้รู้สึกว่า ถูกเหยียดหยาม และถูกมองว่าเป็น “ภาระ” หรือ “ตัวถ่วงความเจริญ” ของประเทศ ทั้งที่พวกเขาทำงานรับใช้ชาติมาตลอดชีวิต
  • ความไม่ไว้วางใจในข้อมูลข่าวสาร: ผู้สูงอายุจำนวนมากใช้ช่องทางออนไลน์ (เช่น กลุ่มไลน์) ในการรับข่าวสาร เมื่อได้รับข้อมูลเท็จซ้ำ ๆ จะนำไปสู่การขาดความเชื่อมั่นในข้อมูลทางการเมือง และเพิ่มโอกาสในการรับและแชร์ข่าวปลอมอื่น ๆ ต่อไป
  • ความเสียหายต่อภาพลักษณ์และคะแนนเสียง: ข่าวปลอมนี้ถูกใช้เป็นอาวุธสำคัญในการทำลายความน่าเชื่อถือของพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นข้าราชการและผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นฐานเสียงขนาดใหญ่และมีความอ่อนไหวสูงต่อประเด็นสวัสดิการ
  • การเสียเวลาและทรัพยากรในการชี้แจง: พรรคก้าวไกลต้องใช้เวลา ทรัพยากร และพลังงานทางการเมืองจำนวนมากในการออกมาชี้แจง ตอบโต้ และยืนยันข้อเท็จจริงซ้ำแล้วซ้ำเล่า แทนที่จะนำเวลาไปนำเสนอนโยบายหรือทำงานอื่น ๆ
  • ความขัดแย้งกับกลุ่มอาชีพ: ข่าวปลอมทำให้พรรคต้องเข้าสู่โหมดตั้งรับและสร้างความขัดแย้งกับกลุ่มข้าราชการบำนาญ ทั้งที่พรรคไม่ได้มีเจตนาทำลายสวัสดิการของพวกเขา
  • การสร้างความแตกแยกทางการเมือง: ข่าวปลอมนี้ทำให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างรุนแรง โดยใช้ประเด็นสวัสดิการของข้าราชการมาเป็นเครื่องมือในการโจมตีทางการเมือง สร้างความเกลียดชัง และบั่นทอนความสามัคคีในสังคม
  • การลดทอนคุณภาพการเลือกตั้ง: เมื่อมีการแชร์ข้อมูลเท็จซ้ำ ๆ วนเวียนอยู่ตลอดเวลา ย่อมทำให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่บิดเบือนในการตัดสินใจเลือกตั้ง ทำให้การเลือกตั้งไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและนโยบายที่แท้จริง

รายงานแนวโน้มของวงเงินงบประมาณรายจ่ายระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 - 2566 ของสำนักงบประมาณของรัฐสภา

รายงานแนวโน้มของวงเงินงบประมาณรายจ่ายระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 – 2566 ของสำนักงบประมาณของรัฐสภา

ข้อแนะนำเมื่อได้ข้อมูลเท็จนี้ ?

  • ตรวจสอบแหล่งที่มา: ข่าวนี้มาจากใคร? เป็นสื่อหลักที่น่าเชื่อถือ (เช่น สำนักข่าวใหญ่) หรือมาจากบัญชีโซเชียลส่วนตัว/กลุ่มที่ไม่ระบุตัวตน? ข่าวที่สร้างกระแสทางอารมณ์รุนแรงมักมาจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
  • พิจารณาวันที่และบริบท: ข้อมูลเก่าที่ถูกนำมาเผยแพร่ใหม่มักเป็นเทคนิคหลักในการบิดเบือน ให้ตรวจสอบวันที่ของข่าว หากเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนหรือเป็นปีก่อน ให้สงสัยไว้ก่อนว่าถูกนำมาใช้ผิดบริบท
  • สังเกตภาษาและอารมณ์: ข่าวปลอมมักใช้ภาษาที่ ยั่วยุอารมณ์ (เช่น ตื่นตระหนก, โกรธแค้น, หวาดกลัว) มีการใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์เยอะ หรือมีถ้อยคำโจมตีตัวบุคคลโดยตรง หากเนื้อหาพุ่งเป้าไปที่การสร้างอารมณ์มากกว่าข้อเท็จจริง